วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จดหมายจากใจ ในรณรงค์วันเอดส์โลก - วันที่ 1 ธันวาคม 2010



สวัสดีค่ะ

สบายดีหรือเปล่าค่ะ ดูแลสุขภาพด้วยค่ะ อากาศเปลี่ยนแปลบ่อยๆ มีสองฤดูในวันเดียวกัน หนูก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้รับมรดกจากผู้ให้กำเนิด จากวันที่หนูลืมตาดูโลก มาถึง ณ วันนี้ 17 ปีแล้วค่ะที่หนูต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับ เอฮ ไอ วี ในวัยเด็กหนูไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนู เมื่อหนูจำความได้ พ่อ แม่ หนูก็ตายจากหนูไปในเวลาไล่เรี่ยกัน หนูคิดแบบเด็กๆและโทษโชคชะตาชีวิตที่เล่นตลกกับหนูและครอบครัว มันช่างโหดร้ายเหลือเกินสำหรับเด็กคนหนึ่งที่ต้องสูญเสียทั้งพ่อ ทั้งแม่ ไปพร้อมๆกัน ต่อมาไม่นาน หนูเริ่มป่วยบ่อยและขาดเรียนบ่อย และมีตุ่มขึ้นตามแขน ขา หนูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนูอีก หนูไม่มีเพื่อนเล่น ทุกคนพากันวิ่งหนีหนู หรือแม้แต่ญาติๆของหนู ก็แยกหนูออกจากครอบครัว หนูได้ยินคนเขาพูดว่า หนูเป็นเอดส์ ซึ่ง

ความที่หนูเป็นเด็ก หนูยอมรับว่ากลัวมาก ไม่กล้าแม้แต่จะออกจากที่ที่หนูอยู่ ไปเรียนหนังสือก็ไม่กล้าไป หนูถูกมองเหมือนตัวประหลาด ในความคิดตอนนั้นหนูรู้สึกว่าตัวเอง ไร้ค่าต่ำต้อย ชีวิตขาดวิ่นมองไม่เห็นทางรอด หนูท้อแท้สิ้นหวัง แต่แล้วหนูก็พบกับความโชคดี เมื่อพระเจ้าทรงเมตตา ส่งคนมา พาหนูไปรักษา ในวันนั้นหนูยังจำได้ดีว่า หนูนอนป่วยไม่มีแม้แต่แรงที่จะหายใจ แต่แล้วสิ่งที่หนูไม่คาดคิดมาก่อนก็เกิดขึ้น เมื่อคุณครูที่โรงเรียน และพี่ๆแกนนำมาเยี่ยมหนูที่บ้าน และอุ้มหนูขึ้นรถพาไปโรงพยาบาล หนูได้รับการดูแลรักษาด้วยความเอาใจใส่จากคุณหมอและคุณพยาบาลเป็นอย่างดี จนหนูอาการดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ หนูมีสุขภาพแข็งแรงดีเหมือนคนปกติทั่วไป

เดี๋ยวนี้หนูไม่ได้เป็นผู้ป่วยเอดส์แล้วค่ะ หนูแค่เป็นผู้ที่มีเชื้อ เฮช ไอ วี ในร่างกายเท่านั้นค่ะ หลายๆคน ยังคงไม่เข้าใจ คำนิยามของโรคเอดส์ กับ เฮช ไอ วี คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ไปทำลายภูมิต้านทานของร่างกาย แต่ถ้าเราดูแลร่างกายสุขภาพ กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ เราก็อยู่ได้ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้เหมือนคนปกติที่ไม่เจ็บป่วย หนูอยากบอกว่าในอดีตที่ผ่านมา หนูมีชีวิตที่เจ็บปวดสิ้นหวัง ท้อแท้ แต่ ณ วันนี้ หนูมีความสุขมาก เพราะหนูได้เปิดใจยอมรับการเรียนรู้ และความเปลี่ยนแปลงของชีวิต หนูเรียนรู้ที่จะอยู่กับ เฮช ไอ วี อย่างมีความสุข หนูค้นพบความจริงที่ว่า “ ชีวิตมีคุณค่า ” มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันทุกวันนี้ หนูมีอนาคตที่ดี หนูได้เรียนหนังสือ ตามความฝันของหนู ครอบครัวญาติพี่น้องหนู เข้าใจหนู ไม่รังเกียจและเป็นกำลังใจให้หนูสู้อีกครั้ง

สำหรับหนูไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน หนูก็คือ ผู้ติดเชื้อ เฮช ไอ วี สุดท้ายที่หนูอยากบอกและอยากขอ คือ “ ขอโอกาสให้หนูและเด็ก ติดเชื้อ เฮช ไอ วี ได้มีโอกาสเติบโตในสังคม ชุมชน อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกับเด็กปกติด้วยเถอะค่ะ อย่าให้พวกหนูต้องโตเหมือนต้นไม้ที่จำเป็นต้องโตเลย ค่ะ ”




ถึง ผู้ติดเชื้อ เฮช ไอ วี

สวัสดีเพื่อนๆ ที่ติดเชื้อเฮช ไอ วี ฉันอยากจะเขียนจดหมายให้กำลังใจในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมโลกกัน ฉันอยากจะบอกว่า ถึงแม้ว่าตัวเธอเอง จะติดเชื้อเฮช ไอ วี ก็ไม่เป็นไร เธอก็สามารถดำรงชีวิตเหมือนกับบุคคลทั่วไปได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องไปกังวลว่าเราติดเชื้อเฮช ไอ วี จงอยู่กับมันและคิดว่ามันเป็นเพื่อนของเรา และเราก็จะมีความสุข เธอจงรู้ไว้ว่า ถึงจะติดเชื้อเฮช ไอ วี แต่ก็มีสิทธิต่างๆเท่าเทียมกับบุคคลทั่วไป การที่เธอติดเชื้อเฮช ไอ วี นั้นจะทำให้เธอมีโรคฉวยโอกาสต่างๆ ที่จะทำให้เธอมีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอลงไป เธอจะต้องดูแลรักษาสุขภาพให้ดี หมั่นออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานยาตรงต่อเวลา จะได้ไม่เกิดอาการดื้อยา และที่สำคัญ คือ เธอจะต้องนอนหลับพักผ่อนให้มากๆ ทำจิตใจให้แจ่มใส ชื่นบาน และเธอจงรู้ไว้ว่า ถึงจะมีใครบางคนที่รังเกียจเธอ แต่เธอก็ยังมีฉันอยู่เคียงข้างเสมอ



ถึง ผู้อ่านทุกท่าน ที่ติดเชื้อ HIV และที่ไม่ติดเชี้อ

ผมเองก็อยู่ในกลุ่มผู้ที่ติดเชื้อ ในส่วนตัวของผมแล้ว ผมเคยสิ้นหวังในชีวิตที่ผิดพลาด ความหวังที่จะหายจากโรคร้ายคงไม่มี เคยคิดแต่เพียงว่าสักวันหนึ่ง เราก็คงจะตาย แต่พอมาคิดในอีกมุมหนึ่งว่า ก่อนที่เราจะตายทําไมไม่ทำสิงที่ดีๆ ใว้ก่อน ผมเลยคิดที่จะสู้ต่อไปอีก ไม่กลัวว่าใครเขาจะรังเกลียด ใครจะมองอย่างไรก็ช่าง เราอยู่ของเราได้ โดยส่วนตัวของผมแล้ว ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดี ที่จริงแล้วโรคที่เราเป็นอยู่ มันก็ไม่ต่างจากโรคอื่นๆที่หลายคนเป็นอยู่ เพียงแต่คนให้ความสำคัญมากเกินไป ที่ว่าใครเป็นแล้วก็ตายไม่มียารักษา แล้วโรคอื่นที่เป็นแล้วตายเร็วกว่าโรคเอดส์ก็มีมาก อย่างเช่นมะเร็ง ผมเลยอยากให้ผู้ที่ติดเชื้อ จงเข้มแข็งและสู้ต่อไปสักวันหนึ่ง เราต้องมียารักษาให้หายได้

และผมอยากวอนขอ ผู้ที่ไม่ติดเชื้อช่วยโปรดเห็นใจ และเข้าใจในความรู้สึกของเราอย่ามองเราด้วยความรังเกลีด อย่ากลัวเราเพราะพวกเราก็เป็นมนุษย์เหมือนท่าน ในโลกนี้ ไม่มีใครที่อยากจะติดเชื้อนี้หรอก และมันก็ไม่ใช่ว่าจะติดกันได้โดยง่าย ทุกคนที่เขาติดเชื้อจะมีแต่ความเหงา ความอ้างว้างเหมืนอยู่ในโลกเพียงลำพัง ไม่มีใครเข้าใจ เหมือนถูกตัดออกจากโลก ภายนอกแม้แต่ญาติพี่น้อง ก็ไม่อยากอยู่ไกล้ หากเราแก้ไขอดีตได้เราก็คงไม่เป็นโรคนี้ คงไม่มีใคร อยากอยู่คนเดียวในโลก อย่างไร้ความหมายและไร้ความรักได้โปรดทุกท่านจงเข้าใจเราด้วยเถิด

สุดท้ายนี้ผมขอให้ทุกท่านจงโชคดีและหายจากโรคภัยทุกประการด้วยเถิด

ด้วยความนับถือ

จากเรา…



ฉันเป็นคนหนึ่งที่โอกาสได้ใช้ชีวิตร่วมกับผู้ติดเชื้อ แต่ก่อนนี้ ฉันก็มีคิดเหมือนคนอื่นๆทั่วไป ที่มีความเชื่อที่ผิดๆเกี่ยวกับโรคเอดส์ แต่ตอนนี้อยากจะบอกกับทุกคนว่า ความคิดของฉันได้เปลี่ยนไป เมื่อได้มารู้จักและสัมผัสกับกลุ่มผู้ติดเชื้อจริงๆ

ปัจจุบันสังคมไทยยังมีทัศนคติตลอดจนความเข้าใจเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชวีและ โรคเอดส์ไม่ดีนัก โดยคนส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่าหากเป็นเอดส์แล้วต้องเสียชีวิต แต่ในความคิดของฉัน ฉันคิดว่าผู้ติดเชื้อก็เป็นเหมือนคนปกติทั่วไป เพียงแต่ผู้ป่วยติดเชื้อนี้ต้องการกำลังใจในการใช้ชีวิตมากกว่าเราทั่วไป คนปกติธรรมดาอย่างเรานี้แหละ ที่ได้ตัดโอกาสทางสังคมของผู้ติดเชื้อ ไม่คบค้าสมาคม รวมไปถึงการไม่ให้เกียรติและดูถูกผู้ติดเชื้อ ทั้งๆที่ สิ่งที่เราช่วยเหลือเขาได้ในตอนนี้คือความเข้าใจและกำลังใจ เพราะโรคเอดส์ไม่ได้ติดต่อกันได้ง่าย เพียงเพราะการพูดคุย สัมผัสตัว หรือใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ดังนั้นจึงไม่ควรที่จะกลัวเลย ที่ต้องใช้ชีวิตในสังคมร่วมกับผู้ป่วยติดเชื้อ ผู้ติดเชื้อจะเจ็บป่วยบ่อย เสียเงินค่ารักษามาก ทำให้เสียกำลังใจท้อแท้ คนในครอบครัว และสังคมรอบข้าง รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ควรให้ความเห็นใจ ให้กำลังใจผู้ป่วยเอดส์ ไม่ให้มีความวิตกกังวลมากเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้ภูมิต้านทานต่ำลงไปอีก และการอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อจึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น การสร้างความเข้าใจกับผู้ติดเชื้อ จะทำให้ผู้ติดเชื้อมีกำลังใจที่จะต่อสู้กับสถานการณ์ที่ประสบอยู่ เนื่องจากรับรู้ว่ายังมีคนเข้าใจ และไม่รังเกียจในการที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างปลอดภัย

สุดท้ายนี้อยากจะฝากทุกๆคน เรื่องความเชื่อเกี่ยวกับโรคเอดส์ คือ ถ้าไม่ได้สัมผัสผ่านทางเลือดโดยตรง ก็มีโอกาสติดเชื้อได้น้อยมาก อยากให้ทุกคนร่วมเป็นกำลังใจให้กับผู้ติดเชื้อด้วย


ถึง เพื่อนที่มีหัวใจที่เข้มแข็งต่อสู้กับโรคร้าย

ก่อนอื่นก็ขอกล่าวคำว่า สวัสดีค่ะ หนูมีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงเพื่อนที่มีหัวใจเข้มแข็งต่อสู้กับโรคร้าย เมื่อใครๆที่ได้ยินคำว่า “โรคร้าย” ต่างก็รู้สึกไม่ดีแน่นอน แต่ใครจะรู้ว่าเพื่อนๆที่มีหัวใจที่เข้มแข็งต่อสู้กับโรคร้ายนี้ยังมีหัวใจที่เข้มแข็งและต่อสู้กับมันได้ด้วยใจที่เข้มแข็งไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ หนูขอกล่าวคำว่า เพื่อนๆสุดยอดไปเลยค่ะที่มีจิตใจที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวมีหัวใจที่ปราศจากคำว่า “ย่อท้อและอ่อนแอ” เพราะตัวหนูเองบ่อยครั้งนักที่อ่อนแอต่ออุปสรรค แต่เพื่อนๆนับว่าเป็นวีรบุรุษในดวงใจของหนูเลยค่ะ

เมื่อครั้งที่ยังไม่รู้จักว่าโรคร้ายคืออะไร ในความคิดของหนูคิดว่าคงเป็นโรคที่ร้ายแรงมากถ้าใครเป็นก็คงไม่รอดแน่นอนและคงจะน่ากลัวมาก แต่เมื่อหนูได้มีโอกาสได้มาสัมผัสกับเพื่อนๆที่เป็นโรคร้ายก็ทำให้ความคิดในอดีตนั้นหายไป เพราะโรคร้ายนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่หนูคิดเลยแต่เพื่อนๆยังมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เพื่อนๆยังมีหัวใจที่เข้มแข็งพร้อมที่จะก้าวและโน้มตัวออกไปเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในสังคม เพื่อนๆสามารถกระทำทุกอย่างได้เหมือนกับทุกๆคนในสังคม สามารถประกอบอาชีพ สามารถเป็นคนดีของสังคม สามารถบำเพ็ญประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติและมีอีกหลายๆอย่างที่เพื่อนๆสามารถทำได้อย่างไม่มีขอบเขต ตราบใดที่เพื่อนๆยังมีลมหายใจ เพื่อนๆก็ยังเป็นบุคคลที่สำคัญของสังคมและประเทศชาติ เพราะชีวิตของเรายังมีค่าต่อทุกคน ในบางครั้งเพื่อนๆอาจจะคิดว่าชีวิตนี้ไม่มีค่า ถ้าบางครั้งที่เพื่อนๆคิดว่าชีวิตนี้ไม่มีค่า ไม่จริงหรอกค่ะ เพราะเพื่อนๆยังมีลมหายใจ เพื่อนๆก็ยังมีความสำคัญต่อใครหลายคน

สุดท้ายนี้จะร้อนหรือจะเหน็บหนาว หนูขอสัญญาว่าหนูจะเป็นกำลังใจให้กับเพื่อนๆและจะสวดภาวนาอ้อนวอนต่อพระบิดาเจ้าให้เสมอๆค่ะ

รณรงค์วันเอดส์โลก - วันที่ 1 ธันวาคม 2010



เมื่อแสงสว่างขององค์พระผู้เป็นเจ้าถูกจุดขึ้น เราไม่ได้อยู่ในโลกแห่งความโดดเดี่ยว แต่เราดำเนินชีวิตอยู่ในความหวัง ความหวังปล่อยให้เราไม่ต้องทำนายเรื่องอนาคต แต่ปล่อยให้เราสามารถอยู่ในปัจจุบัน ด้วยความไว้วางใจในพระเจ้า แสงสว่างนี้ ช่วยทำลายกำแพงอคติที่ไม่ดี ทำให้เรากล้าที่จะใกล้ชิด ช่วยเหลือกันและกัน เป็นพี่น้อง ที่มีความผูกพันด้วยความรัก ของพระเจ้า เราเห็นความเป็นมนุษย์ในกันและกัน เราแบ่งปันความหวังให้กันและกัน

ใน วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี ทั่วโลกจะพากันรณรงค์วันเอดส์โลก ในวันนี้ ถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม ที่เราทุกคน จะได้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ต่อกันและกัน ทุกคนที่อยู่ในโลกนี้ มีสภาพชีวิต ฐานะที่แตกต่างกัน ในสภาพของความต่างกันนี้ ก็มีคนที่ติดเชื้อ เฮช ไอ วี ซึ่งเป็นโรคที่หลายคนยังขาดความรู้ หรือความเข้าใจอย่างเพียงพอ ทำให้เกิดการแบ่งแยก ความหวาดกลัว ระแวง ไม่กล้าที่จะอยู่ใกล้ชิดกับบุคคลเหล่านี้ วันรณรงค์ โรคเอดส์ นอกจากจะเป็นวันที่พยายามกระตุ้นให้ทุกคนตระหนักถึงเรื่องของโรคเอดส์แล้ว ก็ยังเป็นโอกาสที่เราจะได้คิดคำนึงถึงการปฎิบัติต่อกันและกัน พยายามสร้างความสัมพันธ์ ความใกล้ชิด การยอมรับซึ่งกันและกัน มากยิ่งขึ้น และเราจะ ภาวนาเพื่อทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ติดเชื้อโดยตรง หน่วยงานหรือองค์กร นักวิทยาศาสตร์ที่กำลังค้นหาแนวทางในการรักษา และทุกท่านที่ได้ช่วยเหลืองานในด้านผู้ติดเชื้อนี้


1. เพื่อพระศาสนจักรของพระเจ้าทั่วโลก จะได้รับการฟื้นฟูจิตใจที่จะประกาศความรักของพระเจ้าต่อมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ถูกสังคมรังเกียจ ให้เราภาวนา

2. เพื่อคนในชุมชน จะได้เปิดใจรับ มีทัศนคติที่ดีและถูกต้องต่อพี่น้องที่ติดเชื้อ ขอให้พวกเขาได้ทำลายกำแพง อคติ ที่ไม่ดีนั้น ให้สูญสิ้นไป ตรงกันข้าม โปรดให้เขาได้มีจิตใจที่อ่อนโยน และยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นอกเห็นใจ และยินดี ที่จะช่วยเหลือ ให้เราภาวนา

3. เพื่อผู้ที่ทำงานในองค์กร หน่วยงานที่ส่งเสริม ช่วยเหลือในกลุ่มของผู้ติดเชื้อ ผู้ที่ได้รับผลกระทบ จะได้มีกำลังใจในการดำเนินพันธกิจแห่งความรักนี้ ในสังคมตลอดไป ให้เราภาวนา

4. เพื่อสังคมในปัจจุบันได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อและการเจ็บป่วยด้วย โรคเอดส์ ให้มีความระมัดระวังในการป้องกัน ที่จะไม่เพิ่มผู้ติดเชื้อมากขึ้นและเพื่อผู้ที่ป่วยด้วยนี้ จะได้รับการบรรเทาและกำลังใจจากคนรอบข้าง ให้เราภาวนา

5. เพื่อผู้ที่สิ้นใจ ด้วยโรคเดส์นี้ จะได้รับการพักผ่อนและได้รับพระเมตตาจากองค์พระบิดาเจ้า ให้เราภาวนา

ขอ พระบิดาเจ้าผู้ทรงสถิตทั่วสากลจักรวาล ขอพระองค์ทรงสดับฟังคำทูลขอ ทั้งนี้ด้วยความเชื่อและไว้วางใจ ในพระเป็นเจ้าองค์แห่งความรัก และเพื่ออาณาจักรแห่งสันติของพระองค์จะได้สำเร็จไปในแผ่นดินเหมือนดังใน สวรรค์ และคริสตชนจะได้เป็นประจักษ์พยาน มีส่วนร่วมในการสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งความเอื้ออาทรต่อกัน และความรักอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ทั้งนี้ ขอพึ่งพระบารมีพระเยซูคริสตเจ้า พระบุตร ผู้ทรงจำเริญและครองราชย์ เป็นพระเจ้าหนึ่งเดียวกับพระองค์ และพระจิต ตลอดนิรันดร

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

รายการคาทอลิกบอกเล่าเก้าสิบ โดย วัดอัครเทวดามีคาแอล

สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า



ช่วงรายการ
1.สปอร์ตเริ่ม
2.แนะนำรายการ
3.ประชาสัมพันธ์งานคริสตมาส
4.แรงบันดาลใจ เรื่อง
5.บทเพลง รักแท้
6.ประวัตินักบุญฟรังซิส เซเวียร์
7.พระวาจาประจำสัปดาห์
8.บทเพลง ขอเชิญท่านผู้วางใจ
9..อธิบายพระวาจาโดย บาทหลวงพงษ์เทพ ประมวลพร้อม
10.ประชาสัมพันธ์งานคริสตมาส
11.นิทาน เรื่อง นกอินทรี
12.บทเพลงอัญเชิญองค์พระมหาไถ่
13.สปอร์ตจบ

รายการสรรเสริญความรักพระเจ้า

28 พฤศจิกายน 2553



ช่วงรายการ
1.สปอร์ตเริ่ม
2.แนะนำรายการ
3.บทเพลง ขอเชิญท่านผู้วางใจ
4.ประชาสัมพันธ์งานคริสตมาส
5.บทเพลง อัญเชิญองค์พระมหาไถ่
6.ความรู้เกี่ยวกับเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า
7.ประวัติการบังเกิดพระเยซู
8.บทเพลงขอให้ลูก
9.ประชาสัมพันธ์บ้านพักร่วมใจ
10.บทเพลงก้าวต่อไป
11.กิจการของพระเยซูเจ้า
12.บทเพลงข้าแต่บิดา
13.ประชาสัมพันธ์งานคริสตมาส

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

รื้อฟื้นคำสอนคาทอลิก

250.พระศาสนาจักรแบ่งศีลสศักดิ์สิทธิ์อย่างไร (1210-1211)

แบ่งออกเป็นศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มชีวิตคริสตชน(ศีลล้างบาป ศีลกำลัง ศีลมหาสนิท) ศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งการเยียวยารักษา(ศีลอภัยบาปและศีลเจิมผู้ป่วย) และศีลศักดิ์สิทธิ์เพื่อการรับใช้ความเป็นหนึ่งเดียวกัน และการแพร่ธรรม(ศีลบวชและศีลสมรส)ศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดประการต่างก็สัมผัสช่วงเวลาที่สำคัญๆ "อันเป็นจุดหมายปลายทางเฉพาะ"(นักบุญโทมัส อไควนัส)

รายการสรรเสริญความรักพระเจ้า

21 พฤศจิกายน 2553


ช่วงรายการ

สปอร์ตเริ่ม
แนะนำเข้ารายการ
บทเพลง ส่งความรัก
ประชาสัมพันธ์บ้านพักร่วมใจ
บทเพลง บ้านหลังนี้
ตามรอยผู้แพร่ธรรม
เรื่องเล่าจากพระคัมภีร์ เรื่อง โมเสส 2
บทเพลง ขอให้ลูก
ประฃาสัมพันธ์บ้านพักร่วมใจ
บทเพลง ก้าวต่อไป
กิจการของพระเยซูเจ้า
บทเพลงข้าแต่พระบิดา
ประชาสัมพันธ์บ้านพักร่วมใจ
บทเพลงในพระองค์ขอทรงนำทาง

รายการวิทยุคาทอลิกบอกเล่าเก้าสิบ โดยวัดอัครเทวดามีคาแอล

สัปดาห์สมโภชพระเยซูเจ้ากษัตริย์แห่งสากลจักรวาล



ช่วงรายการ
1.สปอร์ตเริ่ม
2.แนะนำรายการ
3.แรงบันดาลใจ เรื่อง สารวันกระแสเรียก
4.ประวัตินักบุญอันเดร ดุงลักซ์และเพื่อนมรณสักขีเวียดนาม
5.พระวาจาประจำสัปดาห์
6.บทเพลง อ้าองค์อดิศร
7.อธิบายพระวาจา โดย บาทหลวงพงษ์เทพ ประมวลพร้อม
8.นิทาน กระจกเงา
9.สปอร์ตจบ

บทพระวรสารวันอาทิตย์ สมโภชพระเยซูเจ้ากษัตริย์แห่งสากลจักรวาล ปี C

วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

รายการสรรเสริญความรักพระเจ้า

14 พฤศจิกายน 2553



ช่วงรายการ
1.สปอร์ตเริ่ม
2.แนะนำรายการ
3.บทเพลง ส่งความรัก
4.ประชาสัมพันธ์บ้านพักร่วมใจ
5.บทเพลง บ้านหลังนี้
6.เรื่องเล่าจากพระคัมภีร์ โมเสส 1
7.บทเพลง น้ำจากพระท้ย
8.ประชาสัมพันธ์ร่วมใจ
9.บทเพลง เคียงข้างเสมอ
10.กิจการของพระเยซุเจ้า
11.บทเพลงข้าแต่พระบิดา
12.ประชาสัมพันธ์้บ้านพักร่วมใจ
13.บทเพลงสุขในความรักพระเจ้า

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ครั้งแรก ของ การเข้าเงียบ เจ้าหน้าที่บ้านพักร่วมใจ


บรรยากาศที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ อยู่ชานเมือง หนองบัวลำภู ท่ามกลางหุบเขา ที่เราเรียกว่า บ้านพักร่วมใจ เป็นสถานที่สำหรับการเข้าเงียบ จัดกิจกรรมของวัดอัครเทวดามีคาแอล การเข้าค่ายต่างๆ และงานด้านสังคมสงเคราะห์

เจ้าหน้าที่บ้านพักใจ (หน่วยงานคาทอลิกเพื่อผู้อพยพย้ายถิ่นและผู้ถูกคุมขัง - สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย) จำนวน 9 ท่าน จากจังหวัดหนองคาย / อุดร / เลย ออกเดินทางมุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน คือ บ้านพักร่วมใจ เพื่อมาเข้าเงียบ เจ้าหน้าที่แต่ละคน ไม่ทราบและไม่เข้าใจถึงความหมายของการเข้าเงียบ ทุกคนนับถือศาสนาพุทธ เคยได้ยินแต่พระสงฆ์และนักบวช ที่ต้องไปเข้าเงียบ แต่ทำไมเราจึงต้องเข้าเงียบด้วย การเข้าเงียบมีความหมายอะไรสำหรับคริสตชน นี่เป็นคำถามที่เจ้าหน้าที่บางท่านตั้งคำถามไว้ ก่อนที่จะออกเดินทาง การเข้าเงียบครั้งนี้ โดยการนำของคุณพ่อแอนโทนี่ เลดึ๊ก คณะSVD คุณพ่อประสงค์ วงษ์วิบูลย์สิน คณะ OMI


คุณพ่อแอนโทนี่ กล่าวต้อนรับ เจ้าหน้าที่บ้านพักใจ และได้อธิบายความหมายของการเข้าเงียบ จุดประสงค์สำคัญของการเข้าเงียบครั้ง นี้ คือ การมีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้า ปล่อยวางภาระหน้าที่ต่างๆไว้กับพระเจ้า มีเวลาอยู่กับตัวเอง และพยายามรักษาความเงียบอย่างเคร่งครัด ขอให้ใช้เวลา 1 วันอย่างมีค่าที่สุด หลังจากที่ทราบข้อปฏิบัติแล้ว ก็เป็นพิธีเปิดการเข้าเงียบ คุณพ่อแอนโทนี่ ใช้ก้อนหิน ก้อนเล็ก เป็นสัญลักษณ์ของภาระหน้าที่ต่างๆ ที่เราจะวางไว้ในอ่างน้ำของพระเจ้า ที่แวดล้อมไปด้วยแสงสว่างที่จะนำทางเรา เริ่มด้วยการ อ่านหนังสือปัญญาจาร์ย “ ทุกสิ่ง ล้วนอนิจจัง มีเวลาสำหรับทุกอย่าง ” เมื่อทุกคนได้ปล่อยวาง ภาระหน้าที่นั้นแล้ว คุณพ่อประสงค์ กล่าวเปิดการเข้าเงียบ


การเข้าเงียบ ก็ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ตามตารางของการเข้าเงียบ และสำเร็จลงในเวลา 15.30 น. ก่อนที่จะจบ คุณพ่อ ได้ฝากภาคปฏิบัติสำหรับเจ้าหน้าที่ทุกคนได้สัมผัส ถึงการเป็นผู้รับใช้ ของทุกคน ด้วยความรัก เยี่ยงพระเยซูเจ้า ที่ได้ทรงเป็นแบบอย่างให้กับเรา คุณพ่อประสงค์ อ่านบทพระวรสาร เกี่ยวกับงานเลี้ยงครั้งสุดท้ายของพระเยซูเจ้า ที่พระองค์ทรงล้างเท้าอัครสาวก นี่แหละ คือ ภาคปฏิบัติที่พระองค์ทรงกระทำไว้เป็นแบบอย่าง คุณพ่อประสงค์ เริ่มล้างเท้าให้กับเจ้าหน้าที่ คนที่ 1 / คนที่ 1 ก็ล้างเท้าให้คนที่ 2 ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงคนสุดท้าย นำความซาบซึ้ง ความประทับใจ และรอยน้ำตาที่ไม่อาจลืมภาพความทรงจำนี้ได้ เจ้าหน้าที่บ้านพักใจ บอกเราว่า ในโอกาสหน้า พวกเขาก็ปรารถนาที่จะเข้าเงียบดีๆ อย่างนี้ต่อไป

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ขอเชิญร่วมสวดสายประคำประจำเดือน



ขอเชิญพี่น้องทุกท่าน ร่วมสวดสายประคำประจำเดือนพฤศจิกายน
ณ บ้านพักร่วมใจ
วัน เสาร์ ที่ 13 พฤศจิกายน 2553
เวลา 18.00 น.

สมโภชนักบุญทั้งหลายและระลึกถึงผู้ล่วงลับ

เดือนพฤศจิกายนของทุกปี ตามธรรมเนียมของคาทอลิก จะระลึกถึงดวงวิญญาณบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ความกตัญญูกตเวทีของลูกหลาน ที่พึงปฎิบัติต่อบรรพบุรุษของตนเอง โดยการอุทิศคำภาวนาและขอมิสซาบูชาฯ แด่ดวงวิญญาณของท่าน

ก่อนที่จะระลึกถึงผู้ล่วงลับ ในวันที่ 1 พ.ย.ของทุกปีพระ-ศาสนจักรทำการสมโภชนักบุญทั้งหลาย ท่านผู้อ่านคงจะสงสัยว่า ทำไมเราจึงต้องฉลองบรรดานักบุญทั้งหลาย? เพราะตลอดปีเราก็มีการฉลองนักบุญอยู่แล้ว แต่ทำไมพระศาสนจักรจึงต้องให้มีวันฉลองบรรดานักบุญทั้งหลาย อีก 1 วัน เราลองค้นหาคำตอบและศึกษาไปด้วยกันซึ่งอาจมีเหตุผลสำคัญ2ประการคือ
1. เคียงคู่ไปกับการฉลองนักบุญที่เรามีบันทึกไว้ในแต่ละปี เรายังมีบรรดานักบุญชาย หญิงอีกจำนวนมาก บรรดามรณสักขี ชาย หญิง เด็กๆ ที่ร่วมอยู่กับพระสิริรุ่งโรจน์ในสวรรค์ ซึ่งเราไม่ได้ทำการฉลองให้กับท่านเหล่านั้น หลายท่านเป็นพ่อแม่ของเรา ปู่ย่าตายาย ซึ่งเป็นวีรบุรุษชายหญิงแห่งความเชื่อ วันนี้เราจึงให้เกียรติต่อท่านด้วยการระลึกถึงท่าน

2. การฉลองนี้ทำให้เรามองดูเป้าหมายแห่งชีวิตนิรันดรของเราแต่ละคน ท่านนักบุญที่เราฉลองนี้ เป็นมนุษย์ชายหญิงเหมือนๆ กับเรา เป็นเหมือนกับที่เราเป็นนี่แหละ และพวกท่านก็ได้อยู่ในที่ที่เราได้วาดหวังเอาไว้ สักวันหนึ่ง ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน เรารู้ว่า ชีวิตของเรานั้น ไม่ได้เริ่มต้นตอนนี้เรามีชีวิต และจบลงเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้วเท่านั้น แต่ชีวิตของเรา เกิดขึ้นก่อนที่เราจะเกิด และต่อเนื่องไปจนเราตายและไปสู่ชีวิตนิรันดร

วันนี้เราทุกคนได้รับเชิญให้เดินในหนทางของท่านนักบุญทั้งหลาย หนทางของความสุขแท้หนทางที่เป็นทางแคบๆและยาก-ลำบาก เราจึงจำเป็นต้องมีความเชื่อและความกล้าหาญที่จะเดินผ่านไปให้ได้ ตัวอย่างของบรรดานักบุญและคำภาวนา เป็นกำลังใจให้เราก้าวหน้าต่อไป

ความศักดิ์สิทธิ์นี้มิใช่เกิดจากความพยายามของมนุษย์ที่พยา-ยามจะบรรลุถึงพระเจ้า โดยอาศัยกำลังของตนเอง แม้จะประกอบกิจกรรมขั้นวีรกรรมก็ตาม แต่ว่าความศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นของประทานของพระเจ้าที่ให้เปล่า นอกนั้นยังเป็นการตอบสนองของมนุษย์ต่อการเริ่มต้นอันนี้ของพระเจ้าอีกด้วย


ระลึกถึงผู้ล่วงลับ

พระศาสนจักรถือว่า บรรดาผู้ล่วงลับกับผู้มีชีวิตนี้ มีความผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยอาศัยคำภาวนา และการร่วมบูชามิสซา ผู้ล่วงลับมิใช่ผู้ที่จากไป อยู่อีกทีหนึ่ง หรืออีกโลกหนึ่ง โลกที่ไม่สามารถติดต่อสัมพันธ์กันได้ แต่ ผู้ล่วงลับ คือ ผู้ที่ออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระ และสักวันหนึ่งภายหน้าก็จะกลับคืนชีพพร้อมกับพระเยซูคริสตเจ้า
การที่พระศาสนจักรกำหนดให้เดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนระลึกถึงผู้ล่วงลับนั้น เพราะเรามีความเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ เมื่อถึงวันที่ร่างกายจบสิ้น(ตาย) แต่วิญญาณนั้นคงอยู่ วิญญาณจะรับผลของร่างกายที่เป็นผู้กระทำ ไม่ว่าจะเป็นผลของความดีหรือความชั่ว แน่นอนมนุษย์ทุกคนมีทั้งความดีและความผิดบก-พร่องด้วยกันทุกคนโดยความเชื่อของเราซึ่งเป็นคาทอลิก เราเชื่อว่าผู้ที่ตายไปแล้วจะได้ไปพบกับพระเป็นเจ้า แต่บุคคลที่จะพบกับพระเป็นเจ้าได้นั้น ต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งขณะเดียวกันเราก็เชื่อว่าในความเป็นมนุษย์ที่มีความอ่อนแอ คงไม่มีใครสามารถชำระตัวเองให้บริสุทธิ์ได้ทั้งหมด ดังนั้น ผู้ที่ล่วงลับไปในขณะที่ยังมีมลทินของบาป บาปเบา เศษของบาป หรือยังไม่บริสุทธิ์พอที่จะได้ไปพบพระเป็นเจ้า พวกเขาเหล่านั้น ยังต้องใช้โทษของตน อยู่ในที่แห่งหนึ่ง ที่เรียกว่าไฟชำระ และในไฟชำระนี้ เขาจะได้รับการทดลองอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง จะช้านานแล้ว แต่สภาพของวิญญาณของเขา เมื่อผ่านพ้นช่วงนั้นไปแล้ว พวกเขาจะได้เข้าสู่สวรรค์ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคนที่มีชีวิตทุกคนที่จะสวดภาวนาให้กับผู้ล่วงลับที่อยู่ในไฟชำระ เพื่อวอนขอพระเป็นเจ้าทรงมีพระเมตตา อภัยโทษ ความผิดบาปต่าง ๆ ให้กับเขา เพื่อเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร ร่วมสุขกับพระองค์ในสวรรค์ เพราะผู้ล่วงลับเหล่านั้นไม่อยู่ในสภาพที่จะช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากความผิดบาปที่กระทำได้ มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่จะสามารถช่วยพวกเขาได้ และหน้าที่ของการภาวนาและขอมิสซาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับนั้น ยังเป็นเรื่องของความยุติธรรม และความกตัญญูกตเวทีของเราทุก ๆ คนอีกด้วย เพราะผู้ล่วงลับเหล่านั้น อาจเป็นบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ครูบาอาจารย์ นักบวชชาย หญิง พระสงฆ์ พระสังฆราช หรือมิตรสหายของเรา ฯลฯ ซึ่งมีส่วนผูกผัน และเคยเกี่ยวข้องกับเรามาไม่มากก็น้อยในอดีตที่ผ่านมา

ขอฝาก...ข้อคิด... เป็นโอกาสดีที่พวกเราทุกคนจะร่วมกันสวดภาวนาและขอมิสซาให้กับบรรดาผู้ล่วงลับ ทั้งหลาย ญาติพี่น้อง และผู้ที่ไม่มีใครคิดถึง เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่อยู่ในสถานะที่จะช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากความผิดบาปได้มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่สามารถช่วย-เหลือพวกเขาได้ ดังนั้นพวกเราทุกคนควรจะระลึกถึง บรรดาผู้ล่วงลับ หรือญาติพี่น้องที่จาก มิใช่เฉพาะแต่เดือนผู้ตายเท่านั้น แต่ควรระลึกทุก ๆ วัน เพื่อพวกเขาจะได้ ไปอยู่กับพระเป็นเจ้าโดยเร็ววันและเมื่อพวกเขาได้รับชีวิตนิรันดรในสวรรค์แล้วพวกเขาก็จะไม่ลืมที่จะสวดภาวนา ให้พวกเราเช่นกัน







เข้าเงียบ หรือ เข้าหงี๊บ(สารวัดประจำเดือนพฤศจิกายน)

วันที่ 20-21 ตุลาคม 2010 วัดคาทอลิกอัครเทวดามีคาแอล โดย คุณพ่อแอนโทนี่ เลดึ๊ก ซึ่งท่านได้ตระหนักและเป็นห่วงถึงเรื่องชีวิตฝ่ายจิตของสัตบุ-รุษเป็นที่สุด จึงได้จัดโปรแกรมการเข้าเงียบครั้งแรกสำหรับน้องๆ เยาวชนที่สนใจในการเข้าร่วม

การเข้าเงียบคืออะไร

1.เวลาสงบฯ เพื่อการภาวนา 2.เวลาแห่งการกลับใจ

3.โอกาสที่จะให้พระจิตเจ้าเปลี่ยนแปลงชีวิต ซึ่งในการเข้าเงียบที่ทางวัดของเราได้จัดสำหรับเยาวชนนั้นมีลักษณะของการเข้าเงียบ คือ การมีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้า ผู้เข้าเงียบจะพบผู้นำฝ่ายจิตเพื่อแบ่งปันประสบการณ์จากการภาวนาและเพื่อเข้าใจการดลใจของพระเจ้าในแต่ละวัน

การเข้าเงียบจะมีข้อความจากพระคัมภีร์เป็นแนวทางในการรำพึงภาวนา “ถ้าวันนี้ท่านได้ยินเสียงของพระเจ้า ก็อย่าทำให้แข็งเลย”

ผู้เข้าเงียบต้องจัดตารางเวลาและช่วงภาวนาของตนเพื่อสามารถพัฒนาการตอบสนองคำเชื้อเชิญของพระเจ้าได้ตามจังหวะชีวิตของตนเอง ผู้เข้าเงียบต้องรักษาความเงียบอย่างเคร่ง ครัดตลอดเวลาเพื่อจะได้สำนึกการประทับอยู่ของพระเจ้า ได้ง่ายขึ้น การเข้าเงียบส่วนตัวจะมีได้ตั้งแต่ 1 วัน – 1 เดือนหรือสุดแล้วแต่ความปรารถนาของแต่ละบุคคล

การบอกเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับพระนั้นถือว่ามีคุณค่าอย่างยิ่งและในสารวัดของเรา คุณเปาโล ปฐวี แวววับ(พี่ป๊อบ)ได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์กับพระ เพราะการได้ยินเสียงของพระเจ้านั้นมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป และที่สำคัญพระเจ้าตรัสกับแต่ละคนไม่เหมือนกัน

วันแรกของการเยือนจังหวัดหนองบัวลำภู ผมรู้สึกประทับใจมากเนื่องจากบรรยากาศสดชื่น มีธรรมชาติดำรงอยู่ตามแบบที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้ การมาเยือนจังหวัดหนองบัวลำภู ถือเป็นการมาครั้งแรกของผม สืบเนื่องจากผมได้รู้จักคุณพ่อแอนโทนี่ เลดึ๊ก ซึ่งเป็นคุณพ่อเจ้าอาวาสของวัดคาทอลิกอัครเทวดามีคาแอล จังหวัดหนอง- บัวลำภู โดยผ่านช่องทาง เฟซบุ๊ค ซึ่งเป็นการติดต่อสื่อสารของสังคมในยุคปัจจุบัน ซึ่งคุณพ่อแอนโทนี่เขียนข้อความแบ่งปันไว้ใน เฟซบุ๊ค ของวัดอัครเทวดามีคาแอล “เชิญชวนเยาวชนอายุ ตั้งแต่ 16 ปี ขึ้นไปร่วมกิจกรรมเข้าเงียบ ในหัวข้อที่ว่า ถ้าวันนี้ท่านได้ยินเสียงของพระเจ้าจงอย่าทำใจแข็งเลย” ซึ่งปกติแล้ว ผมจะพบแต่พระสงฆ์ ที่เข้าเงียบ แต่ยังไม่เคยพบว่า มีการจัดการเข้าเงียบของเยาวชน ผมจึงมีความสนใจ และตอบรับการเข้าร่วมกิจกรรมกับคุณพ่อแอนโทนี่

กิจกรรมแรกของการเข้าเงียบในหัวข้อที่ว่า “ถ้าวันนี้ท่านได้ ยินเสียงของพระเจ้า จงอย่าทำใจแข็งเลย” คือการแนะนำตัวทำความรู้จักกับเยาวชนอื่นๆ ทำให้ผมได้รู้จักพี่ๆเพื่อนๆแลน้องๆ ที่มีความแตก-ต่างกันในหลายๆ เรื่องแต่สิ่งที่พวกเรามีเหมือนกันนั่นคือศรัทธา และความเชื่อที่พวกเรามีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรมนี้ ก็ถึงเวลาที่พวกเรารอคอยคือการรับประทานอาหารร่วมกัน คุณพ่อได้แนะนำให้พวกเราแบ่งหน้าที่กัน บ้างก็เป็นพ่อครัว บ้างก็แบ่งปันเรื่องพระวาจา บ้างก็แอบไปเงียบต่ออย่างเอาจริ๊งเอาจัง บ้างก็รอล้างจาน ส่วนตัวผมเองคุณพ่อได้มอบหมายให้เป็นหัวหน้าพ่อครัว(ฟังแล้วก็แอบอมยิ้ม เพราะไม่รู้ว่าอาหารที่ทำจะอร่อยหรือเปล่า 55+)

หลังจากนั้นคุณพ่อได้เทศน์แบ่งปันเกี่ยวกับ “การสดับรับฟังเสียงของพระเจ้า” ทุกคนก็นิ่งเงียบและตั้งใจฟังคุณพ่อแอนโทนี่เทศน์สอนอย่างตั้งใจ คุณพ่อได้ให้พวกเรามีเวลาส่วนตัว 1 ชั่วโมงใน การรำพึงไตร่ตรองเพื่อค้น หาเสียงของพระเจ้า เมื่อพวกเรารับคำสั่ง แล้ว ต่างคนก็ต่างแยกกันไปหาที่สงบและเป็นส่วนตัว บ้างก็นั่งใต้ต้นไม้ บ้างก็เดิน บ้างก็ยืนสงบนิ่ง เพื่อนคนไหนที่นิ่งไม่ได้ก็จะแอบแกล้งเพื่อนคนอื่นอย่างสนุกสนาน แต่สุดท้ายทุกคนก็สงบนิ่งอยู่ในความเงียบ...เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งหมดเวลา ทุกคนก็ตื่นจากภวังค์ของความเงียบ และเข้ามานั่งรวมกัน ณ ห้องทำกิจกรรม คุณพ่อแอนโทนี่ ได้ให้พวกเราแบ่งปันเสียงที่พวกเราได้ยิน บางคนก็เล่าถึงเสียงพระเจ้าที่ทรงตรัสผ่านธรรมชาติที่พระองค์ทรงสร้าง บ้างก็รำพึงถึงปัญหาชีวิตที่ตนกำลังเผชิญจนทำให้บางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เพื่อนชาวเวียดนามคนหนึ่งเล่าว่า “ผมได้เข้าเงียบจริงๆ คือการนอนหลับพักพิงในพระเจ้า” เพื่อนๆ คนอื่นๆ พอๆได้ยินสิ่งที่กล่าวนั้นก็หัวเราะสนุก-สนานกัน จนกลายเป็นเรื่องตลก(ตัวผมเองก็แอบหัวเราะตามไปด้วย)

เมื่อเสร็จจากการรับประทานอาหารว่าง คุณพ่อให้พวกเรานั่งสมาธิเพื่อสร้างมโนภาพให้เสมือนกับว่าพวกเรากำลังสนทนากับ พระเยซูเจ้า หลังจากนั้นพวกเราก็มาแบ่งปันสิ่งที่พวกเราได้สนทนากับพระเยซูเจ้า บางคนเล่าว่าคุยกับพระเยซูเจ้าบนสวรรค์ บางคนก็พบพระเยซูเจ้าบนภูเขา บ้างก็พบในถ้ำบ้าง แต่สำหรับตัวผมเองนั้นได้คุยกับพระองค์ในทุ่งหญ้าที่มีฝูงแกะมากมาย แต่กิจกรรมนี้ก็มีคนเล่ว่า ได้คุยกับพระเยซูเจ้าแค่ครู่เดียวก็เผลอหลับไป ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนคนอื่นๆ ได้มากทีเดียว ฮา..ฮา..ในช่วงค่ำเป็นกิจกรรม “จดหมายจากใจ” โดยครูแหม่มได้ให้พวกเราเขียนสิ่งที่ท้ายท้าในชีวิต และให้เพื่อนๆ คนอื่นมาเขียนตอบสิ่งท้าทายต่างๆ ที่เรากำลังเผชิญเพื่อให้สิ่งที่เพื่อนๆ ตอบนั้นเป็นพระวาจาของพระเจ้าที่ช่วยให้เราผ่านสิ่งที่ท้าทายในชีวิตของเราไปได้ กิจกรรมสุดท้ายของวันคือ การคืนดีกับพระเจ้าในกิจกรรมนี้พวกเราได้ขอโทษกับพระเจ้าในสิ่งที่ผิดบาป ที่พวกเราทำไปด้วยความตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นการพูด การกระทำ หรือทางจิตใจ ก่อนที่พวกเราจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนในพระเจ้า คุณพ่อก็ถามความสมัครใจว่าจะ

มีใครสวดสายประคำบ้างแต่ทุกคนก็ลงความเห็นว่าจะ

สวดสายประคำ พวกเราก็เลยสวดสายประคำกันทุกคน

วันที่สองของการเข้าเงียบ พวกเราตื่นนอนด้วยบทภาวนา “จงสรรเสริญพระเยซูคริสตเจ้าเป็นนิจนิรันดร อาแมน...” และทำวัตร

เช้าโดยครูแหม่ม(ส่วนผมไม่ได้ไปร่วมทำวัตรเช้า เพราะต้องเตรียมอาหารเช้าสำหรับทุกคน) เสร็จจากรับอาหารเช้า คุณพ่อแอนโทนี่เทศน์สอนเรื่อง “การปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า” หลังจากนั้นก็ให้แบ่งปันความรู้สึกของการมาเข้าเงียบในครั้งนี้

ก่อนจะจบกิจกรรม เราร่วมพิธีมิสซาพร้อมกัน หลังจากบทพระวรสาร คุณพ่อได้จัดให้มีพิธีล้างเท้า โดยเริ่มต้นจากคุณพ่อล้างเท้าให้เพื่อนคนหนึ่งที่มาเข้าร่วมกิจกรรม และก็สลับไปเรื่อยๆ จนครบ บางคนก็มีจูบเท้าบางคนก็น้ำตาซึม ตัวผมเองก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จริงๆ กิจกรรมนี้คุณพ่อพยายามสอนให้พวกเราเป็นผู้ที่ถ่อมตนก่อนที่จะขอความเมตตา จากคนอื่น ดังพระวาจาที่กล่าวได้ว่า “จงมีใจอ่อนโยน และถ่อมตน”

ความรู้สึกและความประทับใจของการเข้าเงียบในครั้งนี้ โดยปกติแล้วผมได้มีโอกาสในการเข้าร่วมกิจกรรมลักษณะแบบนี้อยู่

ประเทศไทยเรียนรู้ที่จะสวดภาวนาเป็นภาษาไทย

สุดท้ายนี้ผมขอภาวนาเป็นพิเศษให้กับคุณพ่อแอนโทนี่ บราเดอร์เบริ์น ซิสเตอร์บ้านเด็กคุณแม่เทเรซา ครูแห่มม โทน พี่ดิเรก และเยาวชนวัดคาทอลิกอัครเทวดามีคาแอล จังหวัดหนองบัวลำภู และเพื่อนๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมเข้าเงียบทุกท่าน ขอให้พวกเขามีพละกำลังในการประกาศความรักที่พระเจ้ามีต่อเขาให้ทุกคนได้รู้

เปาโล ปฐวี แวววับ(ป๊อป)

บ้าง แต่ไม่เคยรู้สึกเลยว่า เราจะสนิทใจเหมือนเราอยู่กับครอบครัว

ของเราเอง เหมือนกับเราอยู่บ้านของเราเอง เท่ากับกิจกรรมในครั้งนี้ เพราะเพื่อนๆ ทุกคนเป็นกันเอง โดยเฉพาะเพื่อนๆ ชาวเวียดนาม แม้ว่าพวกเขาจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของวัฒนรรม แต่เพื่อนๆชาวเวียดนามก็มีความใคร่กระหายหาที่จะเรียนรู้ในวัฒนธรรมของ

สารจากคุณพ่อเจ้าอาวาส(สารวัดประจำเดือนพฤศจิกายน 2010)

สารจากคุณพ่อเจ้าอาวาส

พี่น้องคริสตชนและท่านผู้อ่านที่เคารพรัก เดือนนี้พระศาสนจักร เชิญชวนให้ระลึกถึงผู้ล่วงลับ เราภาวนาสำหรับดวงวิญญาณทั้งหลายดวงวิญญาณที่อยู่ในไฟชำระและดวงวิญ-ญาณที่ไม่มีใครระลึกถึง ตลอดเดือนนี้ เราซึ่งเป็นคริสตชนจะระลึกถึง เป็นพิเศษสำหรับดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว

ในการระลึกถึงดวงวิญญาณเหล่านี้ เป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะอุทิศคำภาวนาเพื่อเขา เพื่อว่าดวงวิญญาณบรรพบุรุษของเรา จะได้เข้าสู่อ้อมพระหัตถ์พระเจ้าและได้รับสันติและความสุขนิรันดร์ในอาณาจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้า คริสตชนส่วนใหญ่ จะระลึกถึงผู้ล่วงลับในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณอุทิศแด่ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ

ในการระลึกถึงผู้ล่วงลับตลอดเดือนนี้ นอกจากการสวดภาวนาเพื่อเขาเหล่านี้แล้ว เราควรจะหวนคิดคำนึงถึงความหมายและความสำคัญของบุคคลเหล่านี้ เขาเหล่านั้นผู้ซึ่งเป็นบรรพบุรุษ ที่ได้จากโลกนี้ไปก่อน เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างชีวิต ความเชื่อที่เรายึดและปฎิบัติตามจวบจนถึงปัจจุบัน

บรรพบุรุษของเรา ได้รับความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าและสืบทอดต่อไปถึงบุตรหลาน เป็นของขวัญอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเราจะต้องมองเห็นคุณค่าและดูแลรักษาให้ดีที่สุด เรายังมีหน้าที่ และความรับ-ผิดชอบในการสืบทอดความเชื่อนี้ ต่อไปยังบุตร หลาน ของเรา เพื่อให้ความเชื่อนี้ ไม่ถูกเลือนหายไป เนื่องจากความละเลยและความเมินเฉยของตนเอง

ในขณะที่เราระลึกถึงผู้ล่วงลับในเดือนนี้ ขอให้เราได้ใช้โอกาสนี้ เพื่อที่จะตระหนักถึงความเชื่อของเรา ในองค์พระผู้เป็นเจ้า พระผู้แห่งความเมตตา ความรักและความยุติธรรม ให้เราสร้างความเชื่อนี้ ให้เข้มแข็งมั่นคง ให้บังเกิดผลในชีวิตของเราและในชีวิตของคนรอบข้าง เมื่อเราระลึกถึงดวงวิญญาณบรรพบุรุษ เราไม่ควรลืมที่จะขอบคุณดวงวิญญาณเหล่านั้น สำหรับความเชื่อ ที่เราได้รับจากท่าน และพยายามหล่อเลี้ยงความเชื่อนี้ให้เข้มแข็ง มั่นคงยิ่งขึ้น สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำตลอดเดือนนี้

รักในพระคริสต์เจ้า