วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ข้อคิดสำหรับเดือนพฤศจิกายน 2012



พี่น้องที่เคารพรักในพระคริสตเจ้า  การที่พระศาสนจักรกำหนดให้เดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนที่เราสมโภชนักบุญทั้งหลาย 1 พฤศจิกายน ของทุกปี เพื่อให้เราได้ซึมซับตามจิตตารมณ์ของผู้ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ และเลียนแบบอย่างความพยายามของพวกท่านในการเข้าร่วมกับบรรดานักบุญทั้งหลาย ความศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่อภิสิทธิ์สำหรับบางคนแต่เป็นหน้าที่ของคริสตชนทุกคน  มีคนอีกจำนวนมากที่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับนักบุญ ที่หลงคิดว่า นักบุญ คือ ผู้ที่ไม่เคยทำบาป หรือไม่เคยกระทำความผิดเลยในชีวิต เป็นผู้มีคุณธรรมที่สูงส่ง จิตใจดีงาม ไม่เคยคิดถึงตนเอง คิดถึงแต่พระเจ้าและผู้อื่น ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง   ความจริงที่ถูกต้องของนักบุญคือ ผู้ที่มีความพยายามที่จะกลับใจเปลี่ยนแปลงตนเองอยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่จะเกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลของการพยายามและการต่อสู้เอาชนะน้ำใจตนเองด้วยความเจ็บปวด 
    2  พฤศจิกายน ระลึกถึงบรรดาผู้ล่วงลับ  ท่านเหล่านั้น คือ บิดา มารดา ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท มิตรสหายของเรา ฯลฯ พวกเขาได้เดินทางล่วงหน้าไปก่อน ความผูกพันอันนี้เองที่พระศาสนจักรได้ให้ความสำคัญกับบรรดาผู้ล่วงลับ ในหมู่บ้านคาทอลิกจะถือว่าวันนี้เป็นวันพบญาติอีกวันหนึ่งซึ่งจะแตกต่างจากทางโลก  ที่บรรดาบุตร หลาน จะได้แสดงถึงความกตัญญูต่อบุพการี โดยการขอมิสซา อุทิศคำภาวนาให้กับบรรดาผู้ล่วงลับ แสงเทียนที่ส่องสว่างบนหลุมศพ เป็นสิ่งที่เตือนใจเราให้เปิดใจมองเห็นแสงสว่างของพระเป็นเจ้า รวมทั้งขอให้บรรดาผู้ล่วงลับได้เห็นแสงสว่างของพระเป็นเจ้าด้วย ชีวิตหลังความตายเป็นเช่นไรไม่มีใครรู้  เราทราบแต่เพียงว่า หลังจากที่เราได้ทำความดี ต่อสู้ กับอุปสรรคต่างๆมากมายในโลกนี้ วันหนึ่งเมื่อต้องจบชีวิตในโลก ก็ขอให้ได้มีชีวิตใหม่อยู่กับพระเป็นเจ้าในสวรรค์ นี่คือ เป้าหมายของคริสตชน
     ในปีแห่งความเชื่อ ขอให้เราได้ใช้โอกาสที่พระศาสนจักรจัดสรรช่วงเวลานี้ เพื่อการเลียนแบบอย่างของบรรดานักบุญ เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ท่านนักบุญเหล่านั้นไม่ได้ต่างอะไรจากเราเลย เพียงขอให้เราได้เชื่อมั่นในความรักอันไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าที่จะให้เราได้เปลี่ยนแปลงตนเองวันละเล็กละน้อยเพื่อมุ่งสู่ความศักดิ์สิทธิ์อย่างครบครัน ในทำนองเดียวกัน เราปรารถนาให้ทุกคนได้ใช้เวลาพิเศษในการอุทิศคำภาวนาสำหรับ บรรดาผู้ล่วงลับ ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาต้องการอีกแล้ว นอกจากการสวดภาวนาและการขอมิสซา มิใช่เฉพาะเดือนระลึกถึงผู้ล่วงลับเท่านั้น การระลึกถึงทุกๆวัน เพื่อเขาจะได้ไปอยู่กับพระเป็นเจ้าโดยเร็ววัน และเมื่อถึงวันที่เราจะต้องจากโลกนี้ไป  พวกเขาก็จะไม่ลืมเราเช่นกัน  

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เยาวชนและเด็กๆร้องเพลงในมิสซาฉลองวันแพร่ธรรมสากล 2012

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม 2555 สัตบุรุษหนองบัวลำภูร่วมงานแพร่ธรรมสากลที่อาสนวิหารพระมารดานิจจานุเคราะห์ พระคุณเจ้า ยอแซฟลือชัย ธาตุวิสัย ประธานในพิธี ได้ให้ข้อคิดเตือนใจเราว่า พระศาสนจักรถือว่า วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคมทุกปีเป็น “วันแพร่ธรรมสากล” พร้อมกับเชิญชวนคริสตชนทุกคนให้ตระหนักถึงความสำคัญของงานแพร่ธรรมหรืองานธรรมทูต ด้วยการอธิษฐานภาวนาและการสนับสนุนกระแสเรียกการเป็นธรรมทูต จำไว้เสมอว่าในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของพระศาสนจักร เราไม่สามารถปฏิเสธธรรมชาติของเราเองได้ งานธรรมทูต หรืองานแพร่ธรรม หรืองานประกาศข่าวดี สุดแล้วแต่ใครจะเรียก จึงไม่ใช่พันธกิจที่เราจะทำก็ได้ หรือไม่ทำก็ได้ แต่เป็นพันธกิจที่เราทุกคนต้องทำ เมื่อทำแล้ว เราควรภูมิใจที่มีส่วนร่วมในแผนการแห่งความรอดพ้นสำหรับมวลมนุษย์

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประมวลภาพชุมชนวัดสวดสายประคำเดือนแม่พระ 2012

เป็นอีกบรรยากาศที่จะพบเห็นได้ในชุมชนคาทอลิกหนองบัวลำภู กับบรรยากาศแห่งความรัก ความศรัทธาต่อสายประคำศักดิ์สิทธิ์ทุกเสาร์ตลอดเดือนแม่พระ ในความศักดิ์สิทธิ์เราได้นำพระพรของแม่พระไปสู่ชุมชนชาวพุทธเพราะคริสตชนที่หนองบัวลำภู ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านพุทธ ดังนั้น การนำรูปแม่พระออกไปสวดที่บ้านสัตบุรุษย่อมเป็นเครื่องหมายที่เรานำข่าวดีและพระพรไปสู่ชุมชนนั้น อีกหนึ่งบรรยากาศที่เราจะได้พบเห็นอยู่เสมอคือ บรรยากาศแบบครอบครัวชุมชนคาทอลิก ที่ทุกครั้งหลังจากที่เราภาวนาเสร็จแล้ว เราก็จะร่วมรับประทานอาหารพร้อมกัน นี่เป็นอีกวิถีชุมชนที่เรียบง่ายแต่ก็แฝงไปด้วยความรัก ความอบอุ่นที่ทุกคนสามารถแสดงออกอย่างเปิดเผยและชื่นชมยินดีในพระพรที่พระประทานให้กับชุมชนวัดอัครเทวดามีคาแอล หนองบัวลำภูของเรา

สื่อนำความรัก 28 Oct 2012

ต้อนรับคริสตชนใหม่ 2 คน

คริสตชนใหม่ วันที่ 24 ตุลาคม 2555 คุณพ่อตวน และคุณพ่อวิน,SVD ได้เป็นประธานในพิธีโปรดศีลล้างบาปสำหรับเยาวชนเวียดนาม 2 คน คือ นายนาม เหวียน นางสาวเฮียน เหงียน เขาทั้งสองได้เรียนคำสอนกับคุณพ่อแอนโทนี่ เลดึ๊ก และมีความปรารถนาแน่วแน่ในการที่จะเข้าร่วมพระศาสนจักรคาทอลิก และมุ่งหวังในอนาคตว่าจะสร้างครอบครัวคริสตชนใหม่ให้เป็นคาทอลิกที่เข้มแข็งและเป็นแบบอย่างสำหรับคริสตชนและผู้ที่ต่างความเชื่อ ให้เขาได้สัมผัสถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา

วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ค่ายเยาวชนเวียดนาม


    เมื่อวันที่ 12 –14  ตุลาคม 2555 โดยการนำของคุณพ่อแอนโทนี่เลดึ๊ก, SVD เจ้าอาวาส ได้จัดค่ายเยาวชนเวียดนามเป็นครั้งที่ 2 ที่วัดอัครเทวดามีคาแอล หนองบัวลำภู  เยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรม 60 คน โดยมีจุดประสงค์ เพื่อส่งเสริมด้านชีวิตฝ่ายจิตให้กับเยาวชนเวียดนามที่ใช้แรงงานในประเทศไทย และนักศึกษาที่เข้ามาเรียน  การจัดค่ายครั้งนี้มุ่งหวังจะเป็นพลังเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายจิตให้กับเยาวชนที่มาร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดระยะเวลา 3 วัน ให้สามารถรักษาความเชื่อ ความศรัทธาของตนเองไว้ แม้ว่าจะตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีคนดูแลให้คำปรึกษา  แต่ให้เขาได้เรียนรู้ถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเขาเสมอ  

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ส่งเสริมชีวิตฝ่ายจิต


       เมื่อวันที่ 6-7 ตุลาคม 2555 ด้วยการนำขององค์พระจิตเจ้า  คุณแอนโทนี่ หว่อง  วิทยากรชาวมาเลเซีย ได้นำพระพรขององค์พระคริสต์เจ้า มาให้สัตบุรุษหนองบัวลำภูในการบรรยายชีวิตจิต 4 ประการที่พระประทาน  มีเด็กนักเรียนคำสอน เยาวชน และผู้ใหญ่ เข้ารับฟังการบรรยาย สิ้นสุดการบรรยาย คุณแอนโทนี่ได้แบ่งปันพระพรการรักษาโรคและรับประสบการณ์ชีวิตฝ่ายจิตที่พระตรัสกับเราโดยผ่านวิทยากรท่านนี้  


วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ปาฎิหารย์แห่งรัก

เป็นโอกาสดีที่เดือนตุลาคม คริสตชนวัดอัครเทวดามีคาแอล หนองบัวลำภู จะนำรูปแม่พระไปสวดที่บ้านให้แม่พระได้อวยพรครอบครัวของผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น อาศัยความรัก ความศรัทธาที่เรามีโดยการสวดสายประคำแม่พระ เพราะการสวดสายประคำอันนี้เอง ที่ทำให้ชีวิตของเราได้รับปาฎิหารย์ในการช่วยเหลือของพระแม่ในรูปแบบที่แตกต่างกันไป มุมเล็กๆของสารวัดฉบับนี้ ขอนำเสนอปาฎิหารย์แห่งพระหรรษทานของแม่พระ .. สวัสดีผู้อ่านทุกท่าน ดิฉัน สกอลัสติกา จิรวรรณ ผิวเหลือง “วันทามารีย์เปี่ยมด้วยพระหรรษทาน พระเจ้าสถิตกับท่าน ผู้ได้รับพระพรกว่าสตรีใดๆ…”เมื่อผู้อ่านได้ยินบทภาวนานี้ เชื่อว่าทุกท่านต้องนึกถึง “แม่พระ” ซึ่งแตงก็เป็นคนหนึ่งที่เมื่อตกในภาวะเสี่ยงต่างๆ หรือต้องเริ่มภารกิจที่สำคัญ ก็มักจะนึกถึง “บทวันทามารีย์” เสมอ เหตุการณ์ที่จะเล่าถึงนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวแตงเอง เมื่อ 2-3 ปี ก่อน ในเช้าวันอาทิตย์ทุกอย่างดูเป็นปกติ แตงตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวเข้าพิธีมิสซาเหมือนทุกๆวันอาทิตย์ เมื่อถึงเวลา 08:30 น. ถึงเวลาเริ่มพิธี ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ รวมถึงร่างกายและจิตใจของแตงก็ปกติ ร่างกายสามารถทำงานได้ปกติ เหมือนเช่นทุกวัน สามารถร้องเพลงในพิธี ตอบรับในพิธีได้อย่างสบาย ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่…เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นก็ได้เกิดขึ้น เมื่อพิธีมิสซาดำเนินไปจนถึงช่วงรับศีลรู้สึกเหมือนตัวชาไปทั้งตัว มือไม่มีเรี่ยวแรง ตาพล่ามัว มองไม่เห็น ในขณะนั้นเองพยายามลืมตา เพื่อมองไปยังรูปพระเยซูซึ่งอยู่หน้าพระแท่น แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ ณ ตอนนั้นคิดว่าเราเองต้องตาบอดแน่ๆ ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย จึงได้เพียงภาวนาในใจอย่างช้าๆ ด้วยบทข้าแต่พระบิดา.. แต่ก็ไม่สามารถที่สวดจนจบได้ เพราะร่างกายไม่ไหวจริงๆ จึงตั้งใจใหม่อีกครั้งด้วยการเริ่มสวดบทวันทามารีย์..พร้อมกับค่อยๆหายใจเข้า-ออกช้าๆ เมื่อสวดจบตาก็เริ่มสว่างขึ้น มองเห็นได้บ้างพอลางๆ และเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง จึงฝืนร่างกายของตน ก้าวออกไป จากที่นั่ง เพื่อไปรับศีลมหาสนิท แล้วกลับมาคุกเข่าสวดบทวันทามารีย์อีกครั้ง เมื่อสวดจบทุกอย่างเริ่มเป็นปกติ จึงแอบคิดในใจว่าเกือบไปแล้วนะเรา เกือบตาบอดแล้วนะสิ แต่ก็คิดว่า...ถ้าต้องตาบอดจริงๆ ลูกก็ยินดีรับถ้านี่คือความต้องการของพระเป็นเจ้า นี่จึงเป็นอัศจรรย์จากความเชื่อที่มีต่อแม่พระและเป็นวันอาทิตย์ที่ตราตรึงในความทรงจำแห่งความเชื่อของแตงจนถึงปัจจุบัน… ...แตง..

สารจากคุณพ่อเจ้าอาวาส

การดำเนินชีวิต มีหลายครั้งที่เราต้องประสบปัญหากับอุปสรรคต่างๆ หรือความคิดน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ชีวิตของตนเองเทียบกับคนอื่นไม่ได้ และทุกครั้งก็จะมีคำถามที่ฉุกคิดขึ้นว่า ทำไมสิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้นกับฉัน แต่เวลานี้เราอยากจะให้คุณได้มองตนเองให้เป็นความว่างเปล่า หากพระเจ้าจะทรงต้องการที่จะตรัสถามอะไรกับเราบ้าง พระองค์คงไม่ปรารถนาที่จะตรัสถามถึงสติปัญญาความสามารถของเรา และพระองค์จะไม่ทรงมองดูความงดงามบนใบหน้าของเราด้วย แต่คำถามของพระองค์ที่จะมาถึงเรานั้น จะเป็นการถามที่จะมุ่งทดสอบจิตใจของเรา มากกว่า ดังนั้น คำถามของพระองค์จึงเป็นคำถามที่สั้นๆเข้าใจง่าย ตรงประเด็นและเจาะลึกถึงส่วนที่เร้นลับที่สุดของชีวิตเรา ทั้งนี้เพื่อช่วยเราให้ได้ตรวจสอบการเดินทางของชีวิตฝ่ายจิตและนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตของเรา “ กับ 15 คำถามที่พระเจ้าไม่ปรารถนาจะตรัสถามเรา ” 1.พระองค์จะไม่ตรัสถามเราว่า ขับรถยี่ห้ออะไร แต่พระองค์จะตรัสถามเราว่า “ คุณได้ช่วยคนที่ไม่มีรถไปในจุดหมาย ปลายทาง กี่คน ” 2.พระองค์จะไม่ตรัสถามเราว่า บ้านคุณใหญ่โตขนาดไหน แต่พระองค์จะตรัสถามเราว่า “ คุณได้ต้อนรับบุคคลที่เข้ามาในบ้านกี่คน ” 3.พระองค์จะไม่ตรัสถามถึง เสื้อผ้าแบรน์เนมแต่พระองค์จะตรัสถามเราว่า “ คุณได้บริจาคเสื้อผ้าให้กับคนยากจน หรือยัง ” 4.พระองค์จะไม่ตรัสถามเราว่า คุณมีฐานะอะไรในสังคม แต่พระองค์จะตรัสถามว่า “ คุณได้แสดงพฤติกรรมอย่างไรกับผู้อื่น ” 5.พระองค์จะไม่ตรัสถามเราว่า คุณมีทรัพย์สมบัติมากน้อยแค่ไหน แต่พระองค์จะตรัสถามว่า “ คุณถูกทรัพย์สินเหล่านั้นครอบงำชีวิตของคุณหรือไม่ ” 6.พระองค์จะไม่ตรัสถามเราว่า เงินเดือนเท่าไหร่ แต่พระองค์จะตรัสถามว่า “ คุณได้รับเงินเดือนนั้นด้วยความซื่อสัตย์และ ด้วยน้ำพัก น้ำแรงของตนเอง หรือไม่ ” 7.พระองค์จะไม่ตรัสถามเราว่า เราต้องทำงานพิเศษวันละกี่ชั่วโมง แต่พระองค์จะตรัสถามว่า “ คุณทำสิ่งนี้เพื่อครอบครัวและคนที่คุณรักหรือไม่ ” 8.พระองค์จะไม่ตรัสถามเราว่า เราได้รับการเลื่อนตำแหน่งกี่ครั้ง แต่พระองค์จะตรัสถามว่า“คุณได้ยกย่องคนอื่นอย่างไร ” 9.พระองค์จะไม่ตรัสถามเราว่า ตำแหน่งของเราคืออะไร แต่พระองค์จะตรัสถามว่า “ คุณได้ทำงานในหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดหรือไม่ ” 10.พระองค์จะไม่ตรัสถามเราว่า เราได้ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือตนเองบ้างแต่จะถามว่า“คุณได้ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือคนอื่น ” 11.พระองค์จะไม่ตรัสถามเราว่า คุณมีเพื่อนกี่คน แต่จะถามว่า “ คุณเป็นเพื่อนที่ดีกับคนอื่นกี่คน ” 12.พระองค์จะไม่ตรัสถามเราว่า คุณได้ทำอะไรเพื่อปกป้อง สิทธิของตนเอง แต่จะถามว่า “ คุณได้ทำอะไรเพื่อปกป้องสิทธิของคนอื่น ” 13.พระองค์จะไม่ตรัสถามเราว่า คุณพักอาศัยอยู่ที่ไหน แต่จะถามว่า “ คุณได้เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อคนอื่นหรือไม่ ” 14.พระองค์จะไม่ตรัสถามเราว่า ผิวของคุณสีอะไร แต่จะตรัสถามว่า “ อุปนิสัยของคุณเป็นเช่นไร ” 15.พระองค์จะไม่ตรัสถามเราว่า การกระทำของคุณได้สอดคล้องกับคำพูดของคุณกี่ครั้ง แต่จะตรัสถามว่า “ มีกี่ครั้งที่การกระทำของคุณไม่สอดคล้องกับคำพูด ” และนี่คือคำถาม 15 ข้อ ที่ถึงแม้ว่าพระองค์อาจจะตรัสถามแก่ผู้อื่น แต่เราทุกคนก็ควรจะคิดว่า..พระองค์ทรงตรัสกับเราด้วยเช่นเดียวกัน และหากเป็นเช่นนั้นจริง เราจะตอบคำถามของพระองค์ ที่มาถึงเราโดยตรงนี้ได้อย่างไร? นี่เป็นคำถามที่เราทุกคนจะต้องตอบ ไม่ใช่คำถามที่ต้องการความรู้ แต่เป็นคำถามที่เกี่ยวกับชีวิตจิตวิญญาณของเราที่จะต้องตอบคำถาม15 ข้อนี้ให้ได้ เมื่อเราตอบคำถามนั้นได้ ชีวิตของเราก็จะไม่ว่างเปล่าและจะถูกเติมเต็มด้วยการประพฤติปฎิบัติของเรา โดยอาศัยพระหรรษทานของพระที่จะทรงช่วยให้เราได้พยายามทำคำตอบนั้นให้ดีที่สุด  บางครั้งพระเจ้าก็ทรงต้องการที่จะให้เราก้าวต่อไปข้างหน้า เป็นการดีที่เราจะเรียกหาพระเจ้า และรอคอยพระองค์ แต่เมื่อพระเจ้าตรัสกับเราว่า “จงไป” นั่นก็คือ ถึงเวลาที่เราจะต้องไป และทำในสิ่งที่พระองค์ต้องการให้เราทำ...

ประมวลภาพกิจกรรมเดือนกันยายน 2012

ศาสนสัมพันธ์ .....คุณพ่อแอนโทนี่ เลดึ๊ก เจ้าอาวาสวัดอัครเทวดามีคาแอล หนองบัวลำภู ได้รับเชิญเข้าร่วมการสัมมนานานาชาติเรื่อง “ ศาสนากับกระบวนการสร้างสันติภาพในอาเซียน ” จัดโดยโครงการจัดตั้งสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะเลขานุการของศาสนาเพื่อสันติภาพ สภาศาสนสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสันนิบาตโลกมุสลิม ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ระหว่างวันที่ 17 – 19 กันยายน 2555 ณ โรงแรมเดอะสุโกศล ถนนศรีอยุธยา กรุงเทพมหานครและมหาวิทยาลัยอิสลามยะลา โดยเชิญผู้นำศาสนาจากประเทศกลุ่มอาเซียน มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้ศาสนาเพื่อส่งเสริมกระบวนการสร้างสันติภาพ ผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้นำศาสนาทั้ง 5 ศาสนาในประเทศกลุ่มสมาชิกอาเซียนเพื่อนำตัวอย่างที่ดีไปจัดการความขัดแย้งทางศาสนาหรือความขัดแย้งอื่นๆที่สามารถใช้หลักการและกระบวนการศาสนาเข้าไปเยียวยาให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์และสันติสุข อันเป็นรากฐานที่มั่นคงต่อประชาคมอาเซียนในระยะยาวต่อไป  การสัมมนาในครั้งนี้ คุณพ่อแอนโทนี่ ได้แลกเปลี่ยนในเรื่องงานศาสนสัมพันธ์กับกระบวนการสร้างสันติภาพในประเทศเวียดนาม

  ต้อนรับสงฆ์ใหม่เพื่องานแพร่ธรรม วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน 2555 หลังพิธีบูชาขอบพระคุณสัตบุรุษวัดร่วมใจกันต้อนรับพระสงฆ์ 4 ท่านของคณะพระวจนาถต์ของพระเจ้า ที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยเพื่อช่วยงานอภิบาลและงานแพร่ธรรมของสังฆมณฑลอุดรธานี พระสงฆ์ทั้ง 4 ท่าน เป็นชาวเวียดนาม 2 ท่าน และชาวอินโดนีเซีย 2 ท่าน ขณะนี้กำลังเรียนภาษาไทยที่ราชภัฎอุดรธานี การต้อนรับเต็มไปด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง มีการแสดงของน้องๆเยาวชนไทยและการแสดงของเยาวชนเวียดนาม หลังจากเสร็จพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการแล้ว ก็ร่วมรับประทานอาหารพร้อมกัน

สื่อนำความรัก 07 October 2012

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

สารจากคุณพ่อเจ้าอาวาส

มีนิทานเรื่องหนึ่งที่ชาวอเมริกาชอบเล่าให้บรรดาเด็กๆ ฟัง คือ เรื่อง “ พ่อลูกขี่ลา ” เรื่องมีอยู่ว่า มีพ่อลูกสองคนนำลาไปขายที่ตลาด คนเป็นพ่อขี่หลังลาส่วนลูกชายเดินจูงลา เมื่อเดินทางไประยะหนึ่ง ได้ยินคนข้างทางผ่านมาพูดว่า “ เป็นพ่อประสาอะไร ไม่รู้จักรักลูกของตนเอง นั่งสบายบนหลังลา ปล่อยให้ลูกเดิน ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น พ่อก็รีบลงจากหลังลาและบอกให้ลูกชายขี่หลังลาแทน เมื่อเดินทางไประยะหนึ่ง พวกเขาก็ได้ยินคนวิจารณ์ว่า “ เป็นลูกแบบไหน ช่างไม่มีความกตัญญู ปล่อยให้พ่อต้องเดินจูงลา ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น พ่อกับลูกบอกกันว่า มีวิธีเดียวที่จะทำให้เขาหยุดพูดก็คือ เราทั้งสองขึ้นขี่หลังลา เมื่อเดินทางไปอีกระยะหนึ่ง เขาก็ได้ยินคนวิจารณ์ว่า “ เป็นมนุษย์ที่ไร้ความเมตตากรุณาจริง ๆ ลาตัวนิดเดียวจะทนรับน้ำหนักมากขนาดนั้นได้อย่างไร ” สองพ่อลูกได้ยินเช่นนั้น ก็รีบลงจากหลังลาทันที เดินไปได้พักหนึ่ง ก็ยังมีคนวิจารณ์ว่า “ สองคนนี้ช่างโง่จริงๆมีลาทั้งตัวไม่รู้จักขี่หลังมัน ” พ่อลูกทั้งสองไม่รู้จะทำอย่างไร จึงตัดสินใจว่าจะช่วยกันแบกลาไปตลาด บางครั้งชีวิตคนเรา ย่อมได้รับอิทธิพลจากคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่น แน่นอนว่า เราจำเป็นจะต้องรู้จักรับฟังความคิดเห็น แต่ในความคิดที่สร้างสรรค์ที่มีเจตนาที่ดีต่อเราเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรหวั่นไหวจากคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่นที่ไม่มีเหตุผล ในพระศาสนจักรหรือในชุมชนที่เราอาศัยอยู่ ก็มีคนประเภทนี้ ที่ชอบตำหนิและวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น แต่ลืมว่าตนเองก็มีข้อบกพร่องหลายอย่าง คนประเภทนี้ไม่ได้มีประโยชน์ต่อพระศาสนจักรและสังคมเลย แทนที่จะสร้างความรัก ความเป็นหนึ่งเดียวกันในชุมชน ในพระศาสนจักร เขากลับสร้างความแตกแยกในหมู่คณะ เมื่อเราอ่านนิทานเรื่องนี้ เราเองก็ต้องพิจารณาประเมินตนเองว่าเราเป็นคนที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นอย่างสร้างสรรค์หรือไม่ สิ่งที่พูดออกมานั้นเป็นเจตนาที่ดีหรือมีอะไรที่แอบแฝงในทางที่ไม่สร้างสรรค์ แน่นอนว่า คำพูดของเราสามารถส่งผลกระทบต่อคนอื่น ขอให้ทุกสิ่งที่เราพูดนั้นเป็นสิ่งที่ออกมาจากหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความบริสุทธิ์ใจ มีความปรารถนาดีกับทุกคนและไม่มีผลประโยชน์ที่แอบแฝง

ประวัติคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา

บุญราศี คุณแม่เทเรซา แห่งกัลกัตตา เป็นช่วงเวลาหนึ่ง ที่รอบรั้ววัดอัครเทวดามีคาแอล หนองบัวลำภู จะมีบรรยากาศงานฉลองที่จะมีบรรดาผู้สูงอายุคนยากจน ผู้พิการ จะมารวมกันที่วัดแห่งนี้ ในวันที่ 5 ของเดือนกันยายนทุกปี ซึ่งรอบรั้วของเราเป็นที่ทราบกันดีว่า มีนักบวชหญิงคณะหนึ่งเข้ามาทำงานเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี คือ คณะธรรมทูตแห่งเมตตาธรรมหรือคณะที่เราจะเรียกกันติดปาก คือ “ คณะคุณแม่เทเรซา ” บทบาทหน้าที่ของซิสเตอร์ก็ยึดแนวทางปฎิบัติตามจิตตารมณ์ของคุณแม่เทเรซา ที่เราสามารถสัมผัสได้ในตัวของซิสเตอร์ทุกคน และในโอกาสนี้ คริสตชน ชาวหนองบัวลำภูจึงร่วมใจกันฉลองบุญราศีคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา ผู้ซึ่งก่อตั้งคณะธรรมทูตแห่งเมตตาธรรมพร้อมกับบรรดาสมาชิกในคณะของท่าน กับแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อบุญราศีคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตาในประวัติของคุณแม่ เพื่อเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต บุญราศีคุณแม่เทเรซา ผู้ก่อตั้งคณะธรรมทูตแห่งเมตตาธรรม เกิดที่ประเทศอัลเบเนีย ท่านมีพี่ชายหนึ่งคนและพี่สาวอีกหนึ่งคน บิดาของท่านเป็นพ่อค้าและได้สิ้นชีวิตเมื่อท่านอายุยังน้อยอยู่ เมื่ออายุประมาณ 18 ปี ท่านได้รับการดลใจให้บวชเป็นนักบวชคาทอลิก ท่านสอนหนังสืออยู่ในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่เมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย เด็กที่มาเรียนในโรงเรียนแห่งนั้นส่วนมากเป็นเด็กที่มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ท่านได้มองเห็นความทุกข์ยากของคนจนตามถนนของเมืองกัลกัตตา พวกเขาช่วยตัวเองไม่ได้ ไม่มีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม หรือที่อยู่อาศัย ลูกหลานของพวกเขาไม่มีโอกาสได้ไปโรงเรียน ท่านจึงได้รับการดลใจอีกครั้งหนึ่ง ให้ทำงานเพื่อผู้ที่ยากจนที่สุด ท่านได้รับอนุมัติจากผู้ใหญ่ให้เริ่มทำงานในสลัม ท่านสอนเด็กๆ ที่อยู่ข้างถนน ดูแลคนป่วยและผู้ที่จวนจะสิ้นใจ และเด็กๆที่ถูกทอดทิ้ง มีผู้ที่มีการศึกษาและฐานะที่ดีได้เสนอตัวมาช่วยเหลือท่าน และหญิงสาวที่รู้จักท่านและกิจการของท่านก็มาร่วมงานกับท่าน จนกลายเป็นนักบวชกลุ่มใหญ่และได้จัดตั้งขึ้นเป็นคณะนักบวชซึ่งมีชื่อว่า “ คณะธรรมทูตแห่งเมตตาธรรม ” ปัจจุบันคณะมีสมาชิกซึ่งเป็นซิสเตอร์ จำนวน 5,000 ท่าน ทำงานอยู่ใน 134 ประเทศ มีอารามของคณะ 770 อาราม กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก ภาระหน้าที่และพันธกิจของซิสเตอร์คณะธรรมทูตแห่งเมตตาธรรมก็คือ การให้บริการที่ไม่มีค่าตอบแทนแก่ผู้ที่ขัดสนยากจนที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะนับถือศาสนาใด มีผิวพรรณหรือเชื้อชาติใดก็ตาม ซิสเตอร์คณะนี้สามารถประกอบหน้าที่ของพวกเขาได้ ก็เพราะเขามองเห็นพระเยซูเจ้าในบุคคลเหล่านั้น และสิ่งใดที่พวกเขากระทำให้แก่คนเหล่านี้ ก็เท่ากับว่าพวกเขาได้กระทำให้กับพระเยซูเจ้าพระองค์เอง ซิสเตอร์จะให้บริการแก่ความต้องการของสังคมในประเทศ และในระแวกที่พวกเขาอาศัยอยู่ ในประเทศไทย ซิสเตอร์คณะธรรมทูตแห่งเมตตาธรรม ทำหน้าที่ดูแลผู้ที่เป็นโรคเอดส์ ในกลุ่มเด็กที่จังหวัดหนองบัวลำภูโดยมีบ้านเด็กคุณแม่เทเรซา อยู่ด้านหลังวัดอัครเทวดามีคาแอล หนองบัวลำภู คณะซิสเตอร์ถือว่า นี่เป็นงานของพระเจ้า และพระองค์จะทรงเป็นผู้จัดหาปัจจัยต่างๆเพื่องานนี้ บุญราศี คุณแม่เทเรซา ผู้ก่อตั้งคณะธรรมทูตแห่งเมตตาธรรม สั่งห้ามมิให้ซิสเตอร์ในคณะของท่านรณรงค์แสวงหาเงินทองเพื่อทำงานนี้และยังไม่ให้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล และยึดมั่นในพระญาณสอดส่องของพระองค์โดยสิ้นเชิง

เรียนรู้ศาสนาคาทอลิก

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน 2555 กลุ่มนักเรียนโรงเรียน หนองบัวพิทยาคาร เข้าเยี่ยมชมวัดอัครเทวดามีคาแอล หนองบัวลำภู พร้อมทั้งศึกษาพระธรรมคำสอนของศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิก โดยมีคุณพ่อแอนโทนี่ ให้ข้อมูลและชมวีดีโอ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาความเชื่อในพระเป็นเจ้า ซึ่งเชื่อว่า พระเป็นเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งต่างๆให้มนุษย์ดูแลพัฒนา แต่มนุษย์ได้ใช้เสรีภาพ..ทำบาป พระองค์จึงทรงส่งพระเยซูคริสต์มารับสภาพมนุษย์ทรงช่วยเหลือเทศน์สอนมนุษย์ ให้รักกัน ทรงเลือกสาวก ตั้งศีลศักดิ์สิทธิ์ 7 ประการ ทรงตั้งพระศาสนจักร ปัจจุบัน มีสมเด็จพระสันตะปาปา เป็นผู้นำเพื่อร่วมพัฒนาสังคมให้มีสันติยิ่งขึ้น ตามคำสอนของพระเยซูที่ว่า “ เรารักท่านทั้งหลายอย่างไร ท่านก็จงรักกันอย่างนั้นเถิด ” ( ยอห์น 13 :34 )

ฉลองบุญราศีคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา

วันพุธที่ 5 กันยายน 2555 ณ วัดอัครเทวดามีคาแอล หนองบัวลำภูร่วมกับคณะธรรมทูตแห่งเมตตาธรรมฉลองบุญราศีคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา โดยมีคุณพ่อประสงค์ วงษ์วิบูลย์ O.M.I. หัวหน้าเขตเมืองเลยเป็นประธานในพิธี นอกจากนั้น ยังมีผู้สูงอายุ คนพิการ คนยากจน เข้าร่วมงานฉลอง หลังพิธีมิสซาร่วมรับประทานอาหารพร้อมกันที่ศาลานักบุญอาร์โนลด์ ในระหว่างรับประทานอาหารเที่ยง ก็รับชมประวัติของคุณแม่เทเรซาในพันธกิจต่างๆที่คุณแม่ได้ทำในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ และนักบวชคณะธรรมทูตแห่งเมตตาธรรมก็ดำเนินชีวิตตามจิตตารมณ์ของคุณแม่เทเรซาอย่างเข้มงวดโดยอาศัยความเชื่อว่างานที่ทำ คือ งานของพระเจ้า หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จแล้ว คณะซิสเตอร์ได้มอบของขวัญสำหรับผู้สูงอายุ ...ขอให้บุญราศีคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา อวยพรพี่น้องทุกท่าน ...

เตือนใจวัยรุ่น


วัยรุ่นในสมัยนี้ใจร้อนและมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อปัญหามาก  วัยรุ่นในสมัยนี้ใจร้อนและมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อปัญหามาก อย่างเช่น การทะเลาะวิวาทกัน การตั้งท้องก่อนวัยอันควร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้วัยรุ่นมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ และมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว วันที่เขาทะเลาะกันเรารู้ใหมว่าพ่อ แม่ เราต้องเดือดร้อน เสียใจและเป็นห่วงเขาขนาดไหน พ่อ แม่ บอกนิดว่าหน่อยก็ทำเป็นไม่พอใจ ดังนั้น การคบเพื่อนของวัยรุ่นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก คบเพื่อนที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าคบเพื่อนที่ไม่ดีก็จะเกิดปัญหากับตัวเองและคนรอบข้าง ส่วนวัยรุ่นหญิงสาวที่ตั้งท้องก่อนวัยอันควร ตอนนี้ก็เป็นปัญหาใหญ่ในสังคมของเรา เป็นเพราะความสนุกสนาน สุดท้ายผลที่ตามมา คือ การทำแท้ง เขาหารู้ไม่ว่าการที่เด็กคนหนึ่งจะเปิดตามองดูโลกก็ถูกทำลายโดย แม่ ผู้ซึ่งไม่พร้อม   ที่จะเลี้ยงดูเขา ชีวิตของเด็กน้อยก็ต้องสูญเสียไปโดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
 ดังนั้น ขอฝากวัยรุ่นทุกๆคน ก่อนที่เราจะทำอะไรลงไปให้เราคิดไตร่ตรอง ดีๆ ก่อนที่เราจะลงมือปฎิบัติ คิดถึงหัวอกของการเป็น พ่อ แม่ด้วย ที่ท่านเลี้ยงดูเรามาจนถึงวันนี้ และคิดถึงอนาคตของตนเอง ตอนนี้ เรามีหน้าที่เรียน ก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี และทำให้สุดความสามารถ พ่อ แม่ จะได้ภูมิใจในตัวเรา สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของเรา คือ พ่อแม่ ผู้ให้กำเนิด  
                                                                                                                                                 บทความ เฉลิม นฤมาทร

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

สารจากคุณพ่อเจ้าอาวาส


  
    โดยธรรมชาติมนุษย์คนเรา  ชอบปฎิบัติตามคนส่วนใหญ่  ลองสังเกตุจากการสัญจรของคนบนท้องถนนกับการปฏิบัติตามระเบียบวินัยสัญญาณจราจร ในช่วงเย็นหลังจากเลิกงาน  เราจะพบเห็นรถยนต์ติดเป็นขบวนตามสี่แยกไฟแดงต่างๆเพื่อรอสัญญาณจราจร ส่วนบนฟุตบาทเราก็จะพบคนจำนวนมากยืนรอไฟแดงเพื่อที่จะข้ามถนน หากเราสังเกตุดีๆ บางครั้งเราจะพบเห็นเหตุการณ์ขำๆ เหตุการณ์หนึ่ง แต่ก็เป็นสิ่งที่ธรรมดา ถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งในบรรดาคนเดินเท้า มีงานเร่งรีบหรือไม่มีความอดทนที่เพียงพอ เมื่อเห็นว่ารถยนต์บนท้องถนนว่าง เขาจะฉวยโอกาสนี้เดินข้ามถนนโดยที่ไม่รอสัญญาณไฟ ขณะเดียวกันในบรรดาคนที่ยืนรอข้ามถนนก็จะมีบางคนที่ปฎิบัติตาม  ผู้คนกลุ่มนี้อาจจะทำตามโดยที่ไม่นึกถึงกฎจราจรแต่ปฎิบัติตามสิ่งที่คนรอบข้างกระทำ สำหรับเขาแล้วสัญญาณจราจรที่จะข้ามถนนคงไม่ใช่ไฟแดงแต่เป็นแบบอย่างของคนรอบข้าง
    ในชีวิตประจำวัน เราหลายคนอาจไม่ประพฤติตนตามสัญญาณหรือตามหลักปฏิบัติแต่ทำตามแบบอย่างของคนในสังคมมากกว่า เขาทำอย่างไร เราก็ทำเช่นเดียวกันเป็นเรื่องปกติ เพราะฉะนั้นการที่มีคนข้ามถนนโดยที่ไฟจราจรยังเขียวอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่ยังกลายเป็นสัญญาณเพื่อให้คนจำนวนมากได้ปฎิบัติตาม
    ไม่มีใครสามารถบอกเราได้ว่า ชีวิตของเราอยู่เพื่อตัวเองและไม่ส่งผลกระทบกับสิ่งต่างๆหรือบุคคลรอบข้างไม่ว่าจะเป็นวาจาหรือกิจการ ความประพฤติของเราทุกอย่างล้วนส่งผลกระทบต่อบุคคลรอบข้าง เพราะฉะนั้น เราไม่ได้ดำเนินชีวิตเป็นเกราะกำบังแต่ต้องดำเนินชีวิตให้เป็นเครื่องหมายสำหรับคนอื่น
    สำหรับคนที่เป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า บทบาทการเป็นเครื่องหมายนั้นมีความสำคัญยิ่งนัก  พระเยซูเจ้าได้ยืนยันว่าท่านเป็นเกลือของแผ่นดินและเป็นแสงสว่างสำหรับโลก จะเป็นการดีเพียงใด ถ้าการเป็นประจักษ์พยานถึงความเมตตา ความอดทน การให้อภัย ความมีน้ำใจดี การรับใช้และความซื่อสัตย์ สิ่งเหล่านี้คริสตชนจำเป็นต้องแสดงออกเสมอ ซึ่งเป็นพลังที่จะกลายเป็นสัญญาณแห่งความจริงและชีวิต และเพื่อที่จะถวายเป็นเครื่องหมายสำหรับคนอื่นได้ คริสตชนจำเป็นต้องหันไปหาผู้ที่เป็นหนทางความจริงและชีวิต ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างและปฎิบัติตนเยี่ยงพระองค์  คริสตชนก็จะสามารถดึงดูดคนจำนวนมากเข้ามาหาพระองค์

ความศรัทธาต่อพระนางมารีอา



ความศรัทธาต่อพระแม่มารีอา ผู้ซึ่งบังเกิดมาในครรภ์ของนักบุญอันนา ในพระนามว่า “ มารีอา ” มารีอา ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกเลือกสรรจากพระเป็นเจ้า ให้พระเยซูเจ้าบังเกิดในครรภ์ของพระนาง พระนางจึงได้รับการยกย่องเป็นมารดาของพระเป็นเจ้า พระนางเป็นผู้มีบทบาทอย่างมากในแผนการไถ่บาปมนุษยชาติของพระเป็นเจ้า พระเยซูเจ้ามอบพระนางให้เป็นมารดาของเราทุกคน พระนางเป็นผู้มีใจอ่อนหวาน สุภาพ และเป็นผู้ช่วยเหลือ คอยเสนอวิงวอนต่อพระเป็นเจ้า ด้วยเหตุนี้พระศาสนจักรจึงได้ทำการฉลองแม่พระบังเกิด ในวันที่ 8  กันยายน ของทุกปี 
      บิดาและมารดาของพระนางมารีอา  คือ นักบุญยออากิมและนักบุญอันนา ท่านทั้งสองได้ปลูกฝังความรัก  ความศรัทธาให้กับพระนางมารีอา 
      ในโอกาสที่พระศาสนจักรทำการฉลองแม่พระบังเกิด เราผู้ซึ่งเป็นบุตรของพระแม่  จึงขออุทิศความรัก ความศรัทธาต่อพระแม่ วิงวอนขอให้พระแม่ได้คุ้มครองและดูแลเรา เพื่อไม่ให้วิญญาณของเราต้องหลงผิดไปกระทำสิ่งที่ขัดต่อน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า  ในวันฉลองวันเกิดแม่พระปีนี้ ในหน้าของพิธีกรรมด้วยความรัก ความศรัทธาที่มีต่อแม่พระ เราจึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการฉลองวันเกิดแม่พระ ด้วยการนำบทความของน้องเยาวชน ที่เขียนถึงแม่พระ ในความช่วยเหลือที่พระแม่มีต่อลูกทุกคน ด้วยความไว้วางใจ ความศรัทธานี่เองที่ส่งผลให้หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของเราได้กลายเป็นอัศจรรย์ ที่ได้รับจากพระนางมารีอา   
“ วันทามารีย์ เปี่ยมด้วยพระหรรษทาน พระเจ้าสถิตกับท่าน ”

สวัสดีค่ะ ชื่อลูกเกดค่ะ อังเยลา ปิยะฉัตร อัมพรัตน์ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาการสอนภาษาญี่ปุ่น คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นค่ะ  กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้ ก็ผ่านเรื่องราวหลายอย่างที่ทำให้ประหลาดใจ จนอดคิดไม่ได้เลย ว่านี่เป็นแผนการของพระ ที่ทำให้เราเลือกเดินทางนี้
    สำหรับหนูแล้ว การสวดภาวนาเป็นเรื่องที่สำคัญในชีวิต อาจจะมีบ่อยครั้งที่ละเลยไปบ้าง แต่ที่ก็ขาดไม่ได้เลยทุกครั้งที่หนูสวดภาวนา นอกจากจะขอพรจากพระคริสตเจ้าแล้ว หนูก็ไม่เคยลืมที่จะขอพรจากแม่พระ หนูเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบอ่านนหนังสือ เลยทำให้หลายๆครั้ง ผลการสอบออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจ  ตอนอยู่ชั้นม.3 จะสอบเข้าม.4 รู้ตัวอีกทีว่าอ่านหนังสือสอบไม่ทันก็ตอนที่นั่งอยู่ในห้องสอบแล้ว จึงใช้วิธีที่คิดว่าหลายๆคน คงเคยทำมาก่อน นั่นคือการสวดภาวนา
   หนูสวดสายประคำ 10 เม็ดก่อนทำข้อสอบทุกวิชา พอตอนสอบเสร็จ ก็รู้สึกดีที่รู้สึกว่าแม่พระมาอยู่กับหนูด้วย เชื่อมั้ยคะ ว่าผลสอบที่ออกมา หนูสอบติดม.4 ที่โรงเรียนนั้น แล้วยังได้คะแนนเป็นอันดับที่ 1 อีกด้วย เหลือเชื่อมากเลย!วันที่รู้ผลหนูรู้ทันทีเลยว่าเป็นเพราะหนูสวดสายประคำ ถึงสอบได้ หนูรีบวิ่งไปสวดสายประคำบนห้อง เพื่อขอบคุณแม่พระ ก่อนที่จะไปบอกพ่อกับแม่ นี่ถือเป็นเหตุการณ์แรก ที่หนูมั่นใจว่า นี่แหละ แม่พระเป็นผู้ที่ช่วยหนูแล้วก็มีหลายๆเหตุการณ์ อย่างเช่นตอนที่ปวดแก้วหู ปวดและทรมานมากๆแต่วันนั้นเป็นช่วงมหาพรตและดึกมากแล้ว เลยไม่บอกพ่อกับแม่คิดว่าจะพลีกรรม  หนูทรมานมากทั้งสวดสายประคำทั้งร้องไห้ ไม่นานก็หายเป็นปกติ หนูรู้สึกถึงความรักของแม่พระที่มีให้หนูมันชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หนูมั่นใจ ว่าแม่พระจะช่วยให้เดินทางอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง และไม่หลงทางออกจากทางเดินไปหาพระคริสตเจ้า เพราะแม่พระก็เปรียบเหมือนแม่ที่รักคนหนึ่งของหนู เป็นแม่ฝ่ายวิญญาณ ซึ่งรักและคอยดูแลเราเสมอ เพราะพระเยซูเจ้าได้ตรัสกับพระแม่มารีย์และท่านนักบุญยอห์นก่อนจะสิ้นพระชนม์ว่า " แม่ นี่คือลูกของแม่ " แล้วตรัสกับศิษย์ผู้นั้นว่า
" นี่คือแม่ของท่าน " (ยน.19,26-27)

ประมวลภาพกิจกรรมประจำเดือนสิงหาคม 2012

ไว้อาลัย
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม กลุ่มเยาวชนเดินทางไปร่วมสวดภาวนาสำหรับวิญญาณของนายมานะชัย  ภูสีพันนา ที่หมู่บ้านภูพานทองซึ่งเป็นเยาวชนของวัดอัครเทวดามีคาแอล เสียชีวิตเนื่องจากจมน้ำตาย ที่จังหวัดสุพรรณบุรี อายุ  23 ปี  น้องเยาวชนคนนี้ ได้เข้ามาช่วยงานวัดปลายปี 2552 ในเทศกาลคริสต์มาส หลังจากนั้นไม่นานได้ถูกเรียกตัวไปเป็นทหารที่จังหวัดกาญจนบุรี หลังจากปลดทหารได้ 3 เดือน ก็จบชีวิตลงในวันแม่แห่งชาติ คือ วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม 2555 และแผนการในอนาคต เขามีความต้องการเรียนคำสอนเพื่อที่จะรับศีลล้างบาปเป็นคริสตชนคาทอลิก สุดท้ายนี้พี่น้องคริสตชนชาวจังหวัดหนองบัวลำภู ขอร่วมไว้อาลัยกับครอบครัวภูสีพันนา 

ฉลองคณะคุณแม่เทเรซา
ชีวิตที่เรียบง่ายของคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา ได้เป็นแบบอย่างสำหรับคณะธรรมทูตแห่งเมตตาธรรม เมื่อวันพุธที่ 22  สิงหาคม 2555 เวลา 10.00 น. ณ บ้านเด็กคุณแม่เทเรซา ได้มีพิธีบูชาขอบพระคุณฉลองคณะธรรมทูตแห่งเมตตาธรรม ในบรรยากาศที่เรียบง่ายฉลองภายใน โดยมีพระคุณเจ้ายอแซฟลือชัย ธาตุวิสัย เป็นประธานในพิธี พระสงฆ์ 2 ท่าน และมีเจ้าหน้าที่ เด็กๆ เข้าร่วมฉลอง   สำหรับงานฉลองยิ่งใหญ่ในรอบปี คือ วันพุธที่ 5 กันยายน 2555 เวลา 10.00 น. มีพิธีบูชาขอบพระคุณหลังพิธีร่วมรับประทานอาหารพร้อมกัน 

พระวรสารสู่บทละคร
 เด็กนักเรียนคำสอนจากวัดอัครเทวดามีคาแอล หนองบัวลำภู ได้แสดงละครพระคัมภีร์ โดยมีจุดประสงค์ให้นักเรียนทุกคนได้เข้าใจถึงเรื่องราวต่างๆในพระคัมภีร์ที่พระเยซูเจ้าได้ทรงสอนเราไว้อย่างไร เพื่อนำสิ่งที่พระองค์ทรงสอนนำไปคิดและไตร่ตรอง ให้ออกเป็นบทละคนที่สามารถสื่อให้ผู้ชมได้เห็นถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตกาลและยังเป็นปัจจุบัน นอกจากนั้น การแสดงละครพระคัมภีร์ยังฝึกให้เด็กได้เรียนรู้ที่จะคิด แบ่งบทบาทหน้าที่ของตนเอง การทำงานร่วมกับคนอื่นและกล้าแสดงออกในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม ละครพระคัมภีร์ยังเป็นเรื่องราวที่เข้าใจง่าย เด็กนักเรียนคำสอน สามารถนำเรื่องราวของพระเยซูเจ้าไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี

สื่อนำความรัก 02 September 2012

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สารจากคุณพ่อเจ้าอาวาส


ในการดำเนินชีวิต  เราทุกคนต่างมีความปรารถนาที่จะได้รับการหล่อเลี้ยงชีวิตตนเอง  เพื่อให้ได้มาซึ่งสุขภาพที่ดี  เมื่อใดที่หิวอาหาร เราก็หาอาหารประทังความหิว  เมื่อใดกระหายน้ำ เราก็หาน้ำดื่ม โดยทั่วไป  ทุกครั้งที่เราพูดถึงความหิว เราจะนึกถึงความหิวกระหายฝ่ายร่างกายเพียงอย่างเดียว แท้จริงแล้วความหิวกระหายไม่ใช่มีเพียงฝ่ายร่างกายเท่านั้น แต่ด้านจิตใจก็มีความหิวกระหายเช่นกัน อาหารและน้ำไม่สามารถที่จะทำให้จิตใจรู้สึกอิ่มเอิบได้ การหล่อเลี้ยงมนุษย์แม้เพียงหนึ่งคน ก็เปรียบไม่ได้กับการเลี้ยงสัตว์ที่ต้องการอาหารเพียงอย่างเดียว  เราซึ่งเป็นมนุษย์ไม่ใช่มีความหิวกระหายเพียงอย่างเดียวแต่มีความหิวกระหายหลายด้าน   เช่น
     เราหิวกระหาย “ เกียรติยศ ”  ไม่มีใครปรารถนาให้ใครมาดูถูกตนเองได้  ทุกคนมีความปรารถนาที่จะได้รับเกียรติยศ  การยกย่อง แม้จะได้รับเกียรติยศนั้นจากคนเพียงหนึ่งคน
    เราหิวกระหาย  “ การยอมรับ ” ไม่มีใครยอมรับเราได้ หากเราไม่แสดงออกถึงศักยภาพของตนเองเพื่อให้สังคมได้รับรู้ถึงศักยภาพนั้น  
    เราหิวกระหาย “  มิตรภาพและความผูกพัน ”  ถ้าไม่มีการปฎิสัมพันธ์กับคนอื่น เราก็จะกลายเป็นคนที่เศร้าหมองและโดดเดี่ยวเดียวดาย
    เราหิวกระหาย “ กำลังใจ ”  ถ้าหากเราขาดกำลังใจ เราจะเหมือนเรือที่ไม่มีใบพัด
    เราหิวกระหาย  “ ความเชื่อ ”  เราทุกคนต่างมีความเชื่อในบางสิ่งบางอย่าง  แต่ถ้าไม่มีความเชื่อชีวิตของเราก็จะเหมือนเรือที่ล่องลอยโดยไม่มีทิศทาง
   เราหิวกระหาย  “ ความหวัง ”   ตราบใดที่มนุษย์ยังมีความหวัง เราสามารถทำในสิ่งต่างๆมากมายได้  แต่เมื่อใดเราสิ้นหวัง  เมื่อนั้นเราก็สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง
   เราหิวกระหาย  “ ความรัก ”  ถ้าเราได้รับการตอบสนองในความต้องการนี้ ความหิวกระหายเกือบทั้งหมดก็จะถูกดับไป ยังมีความหิวกระหายอีกอย่างหนึ่งที่มีความลึกซึ้งที่สุดซึ่งสิ่งนี้จะรวบรวมความหิวกระหายทั้งหมดมารวมเข้าด้วยกันรวมถึงความหิวกระหายความรักด้วย นั่นคือ ความหิวกระหาย “ ชีวิตนิรันดร ” และอีกหนึ่งความหมาย  คือ  การหิวกระหายพระเจ้า ความรู้สึกกระหายพระเจ้านั้น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น “ ทุกข์ ”  แต่เป็น  “  ความสุข ”  เพราะว่าสิ่งนี้ช่วยให้เราพยายามที่จะพัฒนาตนเองให้มองเห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่ใช่สิ่งจีรัง  เมื่อเรากระหายพระเจ้า เราจึงมีความต้องการที่จะแสวงหาพระองค์และมีพระองค์เท่านั้น ที่สามารถช่วยให้เรารู้สึกอิ่มหนำ ไม่ใช่เพียงฝ่ายร่างกายแต่รวมทั้งฝ่ายจิตใจด้วย ขอให้เราทุกคนมีความรู้สึกหิวกระหายพระเจ้าในทุกๆวันตลอดชีวิตของเราและก้าวเข้าไปหาพระองค์เพื่อที่จะได้รับการหล่อเลี้ยงจากพระองค์

ประมวลภาพกิจกรรมเดือนสิงหาคม


ประเทศเพื่อนบ้าน 
นักศึกษาจากประเทศลาว 7 คน เดินทางมาเรียนภาษาอังกฤษกับคุณพ่อแอนโทนี่ เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่อาเซียนในอีก 2 ปีข้างหน้า นักศึกษากลุ่มนี้ มีความสนใจ ความกระตือรือร้นในการเรียนภาษาอังกฤษอย่างมาก คุณพ่อใช้เวลาสอนภาษาอังกฤษ  5 วันตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม– 3 สิงหาคม 2555 และวันอาทิตย์ที่ 4
สิงหาคม หลังพิธีมิสซานักศึกษาจากประเทศลาวร่วมกิจกรรมกับเยาวชน หลังอาหารเที่ยงก็เดินทางกลับบ้าน 

โค้งสุดท้าย 
เจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองหนองบัวลำภู  เข้าอบรมการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเตรียมพร้อมเข้าสู่อาเซียนในคอร์ส ภาษาอังกฤษที่มีคุณพ่อแอนโทนี่ เป็นวิทยากร โดยหลักสูตรนี้มี 25 ชั่วโมง เน้นการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารให้สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด แต่ทั้งนี้ ต้องขึ้นกับผู้เรียนที่จะต้องฝึกพูดภาษาอังกฤษ 

ทัศนศึกษา
เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2555 คณะครูคำสอนและเยาวชนจากศูนย์คำสอนสังฆมณฑลเชียงใหม่  เข้าเยี่ยมชมวัดอัครเทวดามีคาแอล หนองบัวลำภูและมูลนิธิบ้านนิจจานุเคราะห์ โดยมีคุณพ่อแอนโทนี่และบราเดอร์เดเมียน ให้การต้อนรับและให้ข้อมูลในภารกิจที่ทำในด้านสังคมสงเคราะห์ การดูแลผู้ป่วยเอชไอ วี งานด้านการอบรมและงานแพร่ธรรม   

น้อมรำลึกพระคุณแม่     
วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม 2555 ตรงกับวันแม่แห่งชาติ วัดของเราได้จัดกิจกรรมให้กับนักเรียนคำสอน เยาวชน เพื่อน้อมรำลึกถึงพระคุณของแม่ แม้ว่า จะไม่ใช่แม่ผู้บังเกิดเกล้า แต่บุคคลเหล่านี้ก็เทียบได้กับแม่บังเกิดเกล้าเพราะท่าน เฝ้าดูแล ห่วงหาอาทร เป็นห่วงในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องของสุขภาพ การศึกษา  และอื่นๆอีกมากมาย เพราะเด็กนักเรียนคำสอนและเยาวชนส่วนใหญ่แล้ว พ่อ แม่ได้เสียชีวิต และอยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิบ้านนิจจานุเคราะห์และบ้านเด็กคุณแม่เทเรซา การทำกิจกรรมน้อมรำลึกพระคุณของแม่ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะปลูกฝังคุณธรรมนี้ให้กับทุกคน 

บรรยากาศวันแม่


วันนี้ 12 สิงหาคม 2555  เป็นโอกาสดีที่ประเทศไทย ได้จัดให้ทุกวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปีเป็นวันแม่แห่งชาติ ซึ่งมีความหมายสำหรับคนไทยคือ เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระราชินีนาถ  แต่สำหรับลูกๆทุกคน วันแม่คือวันที่บรรดาลูกๆจะได้สำนึกในพระคุณของแม่ ที่เฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่อยู่ครรภ์ จนกระทั่งคลอด  ถึงแม้ว่า วันแม่ปีนี้ ใครหลายคนอาจได้กอดแม่ แต่ใครหลายคน ไม่มีสิทธิ์ แม้แต่จะคิดถึง...  แม้ว่าวันนี้แม่ของเราไม่ได้อยู่ แต่ว่าความรักของแม่ก็ไม่ได้เลือนหายไปจากความทรงจำของเราเลย สำหรับคนที่มีแม่อยู่ ณ เวลานี้ ก็ขอให้ใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้เป็นลูกที่ดีของแม่ เชื่อฟังและเข้าใจในคำอบรม คำสั่งสอน คำตักเตือนของท่าน ในวันนี้ยังมีตัวแทนของแม่ผู้บังเกิดเกล้าที่ทำหน้าที่เลี้ยงดูเรา เฝ้าดูแลห่วงหาอาทร ในเรื่องสุขภาพ การศึกษา และสิ่งอื่นๆอีกมากมาย ท่านเหล่านี้ ก็เปรียบเสมือนแม่ของเรา ที่รักและเป็นห่วงเราเสมอ 
       ณ วัดอัครเทวดามีคาแอล หนองบัวลำภู เสียงพิธีกรได้เกริ่นนำความหมายของวันแม่  หลังจากนั้น ได้เรียนเชิญบรรดาคุณแม่ทั้งหลายมานั่งด้านหน้า ซิสเตอร์ เจ้าหน้าที่ ที่ดูแลเด็กบ้านคุณแม่เทเรซา บ้านเยาวชน ผู้ป่วยบ้านพักฟื้น ต่างเดินมาด้านหน้าในความรู้สึกที่เอ่อล้นว่า ช่วงเวลาต่อไปนี้จะเป็นการแสดงออกซึ่งความรัก ความผูกพัน ที่ลูกๆมีต่อคุณแม่
       ก่อนที่พวกลูก จะเข้ามอบดอกมะลิ เป็นสัญลักษณ์ของวันแม่  ความหอมของดอกมะลิ เป็นคุณความดีของคุณแม่ที่หอมฟุ้งกระจายไปทั่วทุกสารทิศ  พวกลูกทุกคนขอมอบบทเพลง เพลงหนึ่งแทนความรักที่ออกมาจากใจของพวกลูก ถึงแม้ว่า จะไม่ไพเราะ แต่ก็ถูกกลั่นกรองออกมาจากใจของลูกทุกคน ...    “ เพลง เรารักแม่  ” ลูกทุกคนต่างร้องเพลงนี้ด้วยความตั้งใจ ถึงแม้ว่าจะมีเวลาฝึกซ้อมเพียงน้อยนิดแต่ทุกคน ก็ทำตามหน้าที่ของลูกๆสุดความสามารถ บทเพลงถูกขับขานไปเรื่อยๆ น้ำตาของแม่ก็ไหลออกมา พร้อมกับเสียงเพลงที่ขับขาน แม้ไม่ได้กอดแต่ได้ยินคำพูด น้ำเสียง ที่เปล่งออกมา แม่ก็มีความสุขใจหาสิ่งใดมาเทียบมิได้ หลังจากเพลงเรารักแม่ได้จบลง ตัวแทนลูกเยาวชนได้อ่านกลอนวันแม่ มอบให้กับคุณแม่ทุกๆคน ด้วยความพยายามที่ลูกเขียนและพยายามฝึกอ่าน เพื่อให้วันนี้เป็นวันพิเศษของแม่  หลังจากนั้น ลูกๆทุกคนก็นำดอกมะลิ มอบให้กับคุณแม่ เพื่อให้ลูกๆทุกคนได้แสดงออกถึงความรัก ความกตัญญู และขอโทษในสิ่งต่างๆ ที่พวกลูกไม่ได้เชื่อฟังคำอบรมของท่าน
 รักของแม่ ..... ไม่มีเงื่อนไข 
        ไม่มีข้อแม้ ....
         ไม่มีกาลเวลา กับผู้หนึ่ง.....
      ผู้ที่ถูกเรียกว่า  ลูกของแม่...                   
        ขอให้ทุกวัน เป็นวันแม่ .....
         สำหรับลูกทุกคน

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สารจากคุณพ่อเจ้าอาวาส

           มีชายฝรั่งเศสสองคน ชอบท่องเที่ยวไปประเทศต่างๆ เขาใช้จักรยานเป็นพาหนะในการเดินทาง ช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนหลาย สิบประเทศ และได้รวบรวมประสบการณ์มากมาย พวกเขาใช้เวลา 3 ปีเพื่อที่จะปั่นจักรยานจากประเทศฝรั่งเศสไปประเทศไทย เมื่อถึงประเทศไทย เขาได้ใช้เวลา 1 ปี เป็นอาสาสมัครในค่ายลี้ภัยที่ชายแดนไทย- พม่า อีก 9 เดือนเพื่อที่จะเดินทางทั่วประเทศจีน และอีก 6 เดือนเดินทางเยี่ยมเยียนประเทศญี่ปุ่น เกาหลีและไต้หวัน หนึ่งในสอง คนนี้ได้กล่าวว่าระหว่างการเดินทางนั้น แม้จะมีประสบการณ์ที่ดีมากมายแต่ก็มีอันตรายไม่น้อย ในบางครั้งระหว่างการเดินทางไปประเทศต่างๆพวกเขาถูกโจรทำร้าย และในตะวันออกกลางทุกวันเขาได้เห็นเหตุการณ์ที่ผู้คนถูกฆ่าด้วยความรุนแรงในประเทศอินเดีย หลังจากที่พวกเขาได้ใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ในค่ายดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อนแห่งหนึ่ง เขาได้เขียนในสมุดบันทึกของตนเองว่า หลังจากที่ได้มาอยู่ที่นี่ พวกเรารู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรในชีวิตที่จะต้องบ่นอีกต่อไป นี่อาจจะเป็นประสบการณ์สำคัญที่สุดในชีวิตของหนุ่ม 2 คนนี้ การที่เขาได้สัมผัสกับอันตราย ความทุกข์ยากลำบากและความสุขของชนชาติต่างๆ ได้ช่วยให้เขาซาบซึ้งในความเป็นครอบครัวเดียวกัน ในโลกที่มีความหลากหลาย ชีวิต คือ การเดินทาง ไม่ใช่แค่การเดินทางวันหรือสองวัน แต่เป็นการเดินทางระยะยาวเพื่อที่จะไปสู่เป้าหมายของชีวิต อับราฮัมบรรพบุรุษของเราได้ถูกพระเจ้าเรียกและสั่งให้ละทิ้งบ้านเกิดของตัวเองและทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะไปในถิ่นที่ท่านไม่เคยรู้จัก พระเจ้าเชิญชวนประชากรชาวยิวให้ออกจากประเทศอียิปต์ เพื่อก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา การเดินทางทุกครั้งต้องการความเสียสละ และความเข้มแข็ง บางครั้งเราต้องละทิ้ง สิ่งที่เรารักที่สุดในชีวิต อับราฮัมได้ละทิ้งบ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ล้ำค่าสำหรับมนุษย์ทุกคน บรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าได้ละทิ้งอาชีพ ครอบครัวและทุกอย่างเพื่อติดตามพระองค์ และใช้ชีวิตพเนจร ไม่ว่าจะเดินทางในรูปแบบไหนก็ต้องมีการสูญเสีย แต่ถ้าไม่มีการสูญเสีย นั่นก็ไม่สามารถแสวงหาสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าได้ พระศาสนจักรถือว่าเป็นประชากรของพระเยซูเจ้า ที่กำลังเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองสวรรค์และ คริสตชนทุกคนถูกเชิญชวนให้มีส่วนร่วมในการเดินทางนี้ เราจะไม่เดินทางอย่างโดดเดี่ยว แต่มีคนมากมายร่วมเดินทางด้วย เราไม่ต้องก้าวเดินด้วยความเศร้าโศก เพราะว่าที่ที่เป็นเป้าหมายที่กำลังรอคอยเรานั้น เป็นที่เต็มไปด้วยความสุขและสันติ การเดินทางไปในที่ต่างๆย่อมเสี่ยงอันตราย แต่คริสตชนไม่ต้องก้าวเดินด้วยมือเปล่า สัมภาระของพวกเรา คือ พละกำลังที่พระคริสตเจ้าประทานให้แก่เรา ดั่งที่ประชากรชาวยิวได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยมานา ระหว่าง การเดินทางมุ่งสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา พระองค์ทรงนำหน้าพวกเขาในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆและตอนกลางคืนด้วยเสาเพลิง มิได้คลาดจากเบื้องหน้าประชากรเลย คริสตชนก็ก้าวเดินด้วยพระหรรษทานและพละกำลังที่ได้รับจากพระคริสตเจ้า ขอให้เราทุกคนได้เดินทางพร้อมกัน ด้วยความมั่นใจ ความพากเพียรและความซื่อสัตย์ตลอดไป

ประวัตินักบุญมารีย์ กอเรตตี พรหมจารีและมรณสักขี ระลึกถึงวันที่ 6 กรกฏาคม

          เด็กหญิงน้อยๆ อายุเพียง 12 ขวบ ได้ถูกแทงตายด้วยเหล็กแหลม เธอเป็นเหยื่อของความรุนแรงที่โหดร้ายทารุณ มารีอา เทเรซา กอแร็ตตี เกิดที่ตำบลโครินัลโดในจังหวัดอังโกนา เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 1890 เธอได้กำพร้าพ่อตั้งแต่อายุได้เพียง 10 ขวบ เธอจึงต้องคอยเอาใจใส่เลี้ยงดูน้องๆ อีก 4 คน เวลาที่แม่ออกไปทำงาน พวกที่รู้จักชอบพอกันมักจะเรียกเธอว่า “มารีแอตตา” เธออาศัยอยู่ในฟาร์มแห่งหนึ่งที่แฟร์รีเอเร ดี คองกา ใกล้ๆกับเมืองแนตตูร์โน เธอน่าสงสารมาก ต้องทำงานยากลำบากเพราะครอบครัวยากจน แต่ความศรัทธาของเธอไม่ยากจนเลย กลับทวียิ่งขึ้นเรื่อยๆ เธอได้ถูกหนุ่มคนหนึ่งชักชวนเธอไปในทางที่ไม่ดีหลายๆ ครั้ง แต่เธอก็ไม่ยอมโอนอ่อนตาม รู้สึกว่าจะเป็นการทดลองที่น่ากลัวมากสำหรับตัวเธอ เธอไม่ยอมทำบาปเป็นอันขาด ที่สุดเธอก็ต้องจบชีวิตลงด้วยการเป็นมรณีสักขีเพราะต้องการรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้ ก่อนสิ้นใจเธอได้ยกโทษให้ฆาตกรพลางมอบชีวิตของเธอเองแทนฆาตกรด้วย ฆาตกรคนนี้ภายหลังได้กลับใจ และได้เป็นพยานยืนยันถึงคุณธรรมวีรกรรมของเธอด้วย  คุณแม่อัสซุนตา อายุได้ 84 ปี พร้อมกับลูกๆ อีก 4 คนได้มีโอกาสร่วมพิธีสถาปนาบุตรีน้อยของเธอเป็นนักบุญโดยพระสันตะปาปา ปีโอที่ 12 ในปี 1950 จากตัวอย่างชีวิตของนักบุญมารีอา กอแร็ตตี เป็นการเตือนบรรดาหญิงสาวทั้งหลายในวันนี้ให้รู้จักรักษาป้องกันศักดิ์ศรีและความบริสุทธิ์ของตน ให้พ้นจากผู้ที่ต้องการจะทำลายย่ำยี นักบุญมารีอา กอแร็ตตี แม้ว่ายังเด็กอายุเพียง 12 ขวบและเพิ่งได้มีโอกาสรับศีลมหาสนิทเพียง 5 ครั้งเท่านั้นเอง พระบิดาเจ้าสวรรค์ได้ทรงพระกรุณาบันดาลให้พลังอำนาจแห่งความรักของเธอส่องแสงสุกใสในตัวเธอแล้ว

นักบุญคามิลโล เดอ เลลลิส พระสงฆ์ (1550 - 1614) ระลึกถึงวันที่ 14 กรกฎาคม

                 คามิลโล เป็นตัวอย่างของการทำงานของพระหรรษทานในตัวมนุษย์จะสามารถทำได้ ท่านเกิดที่เมืองบุคคีอานีโก จากตระกูลของมาร์ควิส เดอ เลลลิส  ท่านใช้ชีวิตในวัยหนุ่มมาอย่างโลดโผน เพราะได้รับการอบรมมาไม่สู้ดีนัก ได้เข้ารับราชการทหารต่อสู้กับพวกเตอร์กและได้เรียนรู้พยศชั่วต่างๆ ของพวกทหารในสมัยนั้น ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้รบและต้องเข้าโรงพยาบาล ท่านได้สูญเสียหมดทุกสิ่งทุกอย่างเพราะเล่นไพ่ และได้ออกจากโรงพยาบาลซึ่งเวลานั้นเกือบหายดีแล้ว เพราะท่านได้รั บการต้อนรับจากนักบวชคณะกาปูชิน ซึ่งได้เป็นโอกาสทำให้ท่านได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง และได้เข้าเป็นนักบวชในคณะนี้ แต่ว่าแผลเก่าที่ขาของท่านได้กำเริบขึ้นมาใหม่อีกและไม่เคยหายสักที ท่านจึงจำใจต้องออกจากคณะนักบวช ในโรงพยาบาลซึ่งพวกที่เป็นโรคเรื้อรังมาทำการรักษาอยู่นั้น ท่านได้เห็นความทุกข์ทรมาน น่าส งสาร ท่านได้มีโอกาสสัมผัสพูดคุยกับคนป่วยทุกชนิด และเพราะได้แลเห็นตัวอย่างแห่งความรักเมตตาของนักบุญ ฟิลิป เนรี ทีแรกท่านได้เริ่มลงมือให้บริการแก่ผู้ที่พักฟื้น ต่อมาท่านได้คิดที่จะตั้งคณะนักบวชขึ้นคณะหนึ่งสำหรับช่วยคนป่วยไข้โดยเฉพาะ คือคณะคามิลเลียน ซึ่งมีกางเขนแดงที่หน้าอกเป็นเครื่องหมาย ท่านได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ และได้ช่วยให้คนเป็นจำนวนมากได้กลับใจ โดยได้อุทิศตัวเองทั้ง ครบให้กับทุกคน เพราะท่านเป็นคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ดังนั้นในปีที่แม่น้ำไทเบอร์เกิดท่วมใหญ่คือ ปี 1597 ท่านได้สามารถช่วยพวกคนป่วยให้รอดจากการจมน้ำตายได้อย่างอัศจรรย์ ท่านนักบุญยอห์นแห่งพระเจ้าเป็นองค์อุปถัมภ์ของพวกคนป่วยของพวกผู้รักษาพยาบาลและของโรงพยาบาล ขอให้เราได้พยายามที่จะชี้แสดงให้บรรดาผู้ต้องทนทุกข์ทรมานและบรรดาคนป่วยทั้งหลายเห็นว่า ความชั่วร้ายทั้งหลายจะต้องพ่ายแพ้ต่อพระคริสตเจ้าในทุกวิถีทางโดยอาศัยความรักเมตตาของเรา
                                                                                                                 ข้อมูลจาก..สังฆมณฑลกรุงเทพ

ชีวิตสนิทกับพระ

           สวัสดีครับ พบกันอีกแล้วกับสารวัด วันนี้ผมจะมาแบ่งปัน การเข้าเงียบของพี่ๆชาวเวียดนามนะครับ ผมได้มีโอกาสมองดูและสัมผัสชีวิตการเข้าเงียบ ความศักดิ์สิทธิ์ ความศรัทธาของพี่เยาวชน ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่า ตัวผมไม่ได้เข้าเงียบร่วมกับพี่ๆ แต่ผมก็มีส่วนร่วมโดยการบริการในทุกๆด้าน และผมก็มีโอกาสได้พูดคุยกับพี่เวียดนามที่ร่วมเข้าเงียบในครั้งนี้ เขารู้สึกประทับใจมากและเขาบอกว่าได้รู้จักพระเจ้ามากขึ้น ได้มีโอกาสเงียบอยู่กับตัวเอง สิ่งต่างๆก็เข้ามาในความคิดทำให้เราได้รับสิ่งใหม่ๆและเปลี่ยนแปลงชีวิตในทางที่ดี ส่วนตัวผมเอง เท่าที่ได้เห็นและได้มีโอกาสสัมผัสกับการเข้าเงียบครั้งนี้ ก็รู้สึกมีความคิดลึกๆอยู่ในใจว่า ทำไมพี่ๆ ชาวเวียดนามถึงมีความสามัคคีและมีความร้อนรน ในการแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า บางคนก็เดินทางมาจากประเทศเวียดนามเพื่อที่จะเข้าเงียบ บางคนยังไม่ได้เป็นคริสตชน แต่ก็มีความปรารถนาที่จะมาร่วมเข้าเงียบ ผมในฐานะที่เป็นคริสตชนคนไทยคนหนึ่ง ก็อยากจะเห็นภาพและกิจกรรมเยาวชนของวัดเราให้เหมือนกับพี่ๆเวียดนามที่ได้ทำกิจกรรมเช่นนี้ หาดูได้ยาก ถึงแม้พี่ๆ แต่ละคนจะมีภารกิจที่แตกต่างกันแต่ก็ยังอุตส่าห์เดินทางมาร่วมเข้าเงียบ ไม่ว่าพี่บางคนจะติดเรียนหรือมีงานประจำ พี่เยาวชนก็ยังหาเวลาให้กับตัวเอง เพื่อจะได้อยู่ใกล้องค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม เขาก็ยังทำได้ สุดท้ายนี้ ผมก็ขอฝากเพื่อนพี่น้องทุกคน ถ้าต้องการหรือสนใจทำกิจกรรมเยาวชน ก็สามารถมาเสนอตัวได้ ที่วัดอัครเทวดามีคาแอล หนองบัวลำภู แล้วโอกาสจะมีสำหรับผู้ที่แสวงหาเท่านั้น ฉบับนี้ต้องลาคุณผู้อ่านที่น่ารักไปก่อนฉบับหน้าจะมีอะไรมาฝากขอให้ติดตามผลงานเขียนของผมได้นะครับ สวัสดี
                                                                                                                                 เฉลิม นฤมาณกันทร

จงเป็นเกลือของแผ่นดินและแสงสว่างของโลก


ไม่ว่าจะยากดีมีจน ทุกคนคือคนเหมือนกัน ฉบับนี้มาแปลกมาก ในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2555 งานด้านคำสอนดูเหมือนว่าจะมีการเรียนคำสอนอย่างเข้มมากๆ โดยเฉพาะเยาวชนเวียดนามมีเรียนเกือบทุกวันเพราะอะไรนั้นเรามีคำตอบค่ะ เนื่องจากว่าสิ้นปีนี้ คุณพ่อแอนโทนี่ เจ้าอาวาสวัดมีภารกิจจะต้องไปศึกษาปริญญาเอกที่กรุงเทพฯ จึงเป็นสาเหตุให้เยาวชนเวียดนามหลายๆคนต้องหาเวลามาเรียนคำสอน เพราะความผูกพันและการดูแลชีวิตฝ่ายจิตของคุณพ่อทำให้ทั้งเยาวชน เด็กนักเรียนคำสอน สัตบุรุษวัดเองก็มีความปรารถนาที่จะให้คุณพ่อได้โปรดศีลศักดิ์สิทธิ์ นี่แหละเป็นประจักษ์พยานของพระคริสต์เจ้าด้วยชีวิต
งานคำสอน 
จากแบบอย่างของคุณพ่อ และพระดำรัสของพระเยซูเจ้าได้ตรัสกับเราทุกคน ให้เป็นเกลือของแผ่นดินและแสงสว่างของโลก ในโอกาสที่วัดของเราได้จัดกิจกรรมงานวันคำสอนขึ้น ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ในรอบปี โดยใช้หัวข้อในการอบรม 

“ จงเป็นเกลือของแผ่นดินและแสงสว่างของโลก ” 
            จำนวนนักเรียนคำสอนที่เข้าร่วมกิจกรรม 45 คน จากนักเรียนคำสอนที่วัดของเราเองและนักเรียนหญิงที่อยู่ในการดูแลของซิสเตอร์ดอมินิก จังหวัดอุดรธานี จำนวน 21 คน ทุกคนน่ารักมาก เราจัดกิจกรรมในวันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม 2555 เริ่มกิจกรรมเวลา 09 .00 โมงเช้า ในช่วงแรกของการจัดกิจกรรมเป็นการสวดขอพรโดยเริ่มด้วยพิธีกรรมเปิดการอบรม หลังจากนั้นกิจกรรมหลอมละลายก็ได้เริ่มขึ้น ช่วงแรกทุกคนก็ยังมีความเขินอายกันบ้างแต่ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเรียนรู้ออกจากตนเอง เรียนรู้จักเพื่อนใหม่ เรียนรู้ที่จะอยู่ในสังคมที่มีความแตกต่าง เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่แล้วก็นำกิจกรรมเข้าสู่การอบรมในหัวข้อที่กล่าวไว้แล้วนั้น พระเยซูเจ้าบอกเราให้เป็นเกลือและแสงสว่างของโลก ในความหมายนี้ หมายถึงอะไร นั่นคือ สิ่งที่เราจะต้องค้นหาคำตอบไปด้วยกัน ให้เราดำเนินชีวิตอยู่ในโลกที่เป็นพยานที่มีความเชื่อ เหนือการดำรงชีวิตของคนอื่นๆให้ชีวิตเรามีรสชาติ สามารถที่เปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบได้ ในที่นี้หมายถึงให้เราได้ดำเนินชีวิตในรูปแบบที่แตกต่างจากบุคคลทั่วไปโดยการเป็นพยานที่แสดงออกโดยการมีมิตรภาพที่แท้จริง การแสดงมิตรภาพแห่งพระคริสต์ ความรักเป็นส่วนผสมสำคัญในมิตรภาพแท้ “เมื่อความรักเต็มหัวใจแล้ว มันจะไหลออกไปยังผู้อื่น” โดยสิ่งนี้เท่านั้นที่จะทำให้เราสามารถเป็นเกลือแห่งแผ่นดินและแสงสว่างของโลกได้

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สารจากคุณพ่อเจ้าอาวาส สารจากคุณพ่อเจ้าอาวาส



ปัจจุบัน เรามีผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปหลายชนิด ที่สามารถนำ
ไปบริโภคและใช้ได้ทันที เช่น มาม่า กาแฟ หรือการถ่ายภาพด่วนที่รอรับได้เลย  สิ่งต่างๆ เหล่านี้ แม้เราจะรู้ว่าคุณภาพของสินค้านั้นจะไม่ดี แต่เราก็ยังนิยมและบริโภค ด้วยเหตุผลที่ว่าประหยัดแรงและเวลา แต่เราไม่ควรลืม ในบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถรีบเร่งได้ เช่น การพัฒนาคนให้เป็นบุคคลที่สมบูรณ์ เป็นงานที่ต้องใช้เวลาตลอดชีวิต ในขณะที่เราสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับใครสักคน เราก็ต้องการเวลามากเช่นกัน การที่พ่อ แม่ จะเข้าใจลูกของตนเองก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย และการเอาชนะบาปและนิสัยที่ไม่ดีก็ไม่ใช่เป็นงานที่จะทำสำเร็จได้ภายในวันหรือสองวัน 
      ในโลกปัจจุบัน ได้ถูกขนามนามว่าเป็นยุคอัตโนมัติ ยุคของการกดปุ่ม เรากดปุ่มเครื่องจักรเพื่อให้เครื่องจักรทำงาน เรากดปุ่มสวิตซ์ไฟเพื่อได้แสงสว่าง เรากดปุ่มเพื่อให้ประตูเปิด เรากดปุ่มเพื่อที่จะส่งจดหมาย และอื่นๆ อีกมากมาย ขณะที่เรามีวิธีการต่างๆ เพื่อที่จะประหยัดพลังงานย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่วิธีใช้ชีวิตแบบกดปุ่มจะทำให้เรามีแนวโน้มที่จะแสวงหาสิ่งต่างๆด้วยความง่ายดาย แทนที่จะทำอะไรที่ท้าทาย เราบอกตัวเองว่า จะไปเยี่ยมผู้สูงอายุ คนเจ็บป่วยให้เสียเวลาทำไม ทำไมเราไม่โทรเยี่ยมน่าจะสะดวกกว่า มีหลายเรื่องในโลกนี้ที่เราอยากแก้ไขและเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน การกดปุ่มในเรื่องบางอย่างก็ไม่สามารถกระทำได้ดั่งใจหวังและไม่มีปุ่มไหนที่ใช้แทนการฝึกฝนทักษะได้  เช่น ทักษะในการเล่นไวโอลีน หรือเป็นนักกีฬามืออาชีพ   
      พี่น้องที่รัก ถ้าเราคิดคำนึงอย่างถี่ถ้วนแล้ว เราจะพบว่า อะไรที่เราสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและสะดวก บ่อยครั้งจะไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้น ตรงกันข้าม หากเรากระทำสิ่งใดที่ต้องใช้เวลาแรงกาย แรงใจ และความเสียสละกลับมีคุณค่ามาก เมื่อเราย้อนกลับเข้ามาดูตัวเองจะพบว่าชีวิตของเราได้ใช้ชีวิตแบบกดปุ่มหรือชีวิตแบบอาหารสำเร็จรูป ให้เราพิจารณาใหม่ใน วิถีชีวิตของตนเอง และปรับเปลี่ยนให้สมบูรณ์ขึ้นโดยการใช้เทคโนโลยีด้านต่างๆประกอบเข้ามามีส่วนให้ความเป็นมนุษย์ดีขึ้น
     พระเป็นเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ ไม่ได้กอบกู้มนุษยชาติด้วยการตรัส แต่คำเดียวหรือด้วยการกดปุ่มสักอัน แต่พระองค์ได้วางแผนการกอบกู้นั้นอย่างเป็นระบบแบบแผน มีขั้นตอนที่ยิ่งใหญ่ และใช้เวลาเป็นพันๆปี เพราะฉะนั้น เราก็ไม่สามารถพัฒนาตนเองได้ ถ้าหากเราไม่ยอมออกแรง ทั้งแรงใจ เวลาและการเสียสละ นี่คือ ปัจจัยที่จำเป็น สำหรับการสร้างชีวิตที่มีคุณค่าและความหมาย            

Three Minute Reflection: Feeling Beautiful Inside and Out


According to writer Kimberly Snyder, eating the right foods not only improves physical appearance, but also gives a much needed boost to self-esteem.  “I believe the word ‘health’ is synonymous with the word ‘beauty,’” Snyder said in USA Weekend magazine.     To find your own inner beauty through a healthy diet, here are some nutritional tips:* Cut out the soda.  Soda adds unwanted calories.
* Load up on red peppers.  Red peppers are full of Vitamins A and C, which prevent cell damage and premature aging.
* Add fresh herbs.  Herbs such as cilantro and parsley can help remove unhealthy toxins from the body.
* Less acidity, more alkalinity.  Studies show food higher in alkalines is not only delicious, but produces shinier heads of hair.
* Count on kale.  Kale is a powerful antioxidant and blood cleanser.
    Remember, cleanliness is next to godliness, so keep your body healthy and clean.  You’ll feel more beautiful inside and out. Take care of your health.
(Sirach 18:19)Lord, help us take care of our bodies, the temple of our souls.

งานแพร่ธรรมประเทศลาว



เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสได้ไปเยี่ยม พระสงฆ์ ซิสเตอร์และคริสตชนในประเทศลาว ประเทศลาวเป็นประเทศหนึ่งที่ถูกเบียดเบียนคริสต์ศาสนาและต่อต้านการแพร่ธรรม ดังนั้น พระสงฆ์หรือซิสเตอร์ต้องทำงานอย่างลับๆ พวกท่านเหล่านั้นได้อาศัยอยู่กับชาวบ้านและสอนคำสอนให้กับคนที่ต้องการอย่างลับๆ คริสตชนในประเทศลาวมีความศรัทธาอย่างมากและเขามีความเข้มแข็งในการเป็นลูกขององค์พระผู้เป็นเจ้า แม้จะถูกเบียดเบียนก็ตาม ผมได้มีโอกาสได้พูดคุยกับบราเดอร์คนหนึ่งเขาอยู่คณะเยซูอิต เขาเป็นคนเวียดนาม และเขาก็ได้เล่าให้ผมฟังว่า ในประเทศลาว มันยากในการที่เราจะแพร่ธรรมอย่างเปิดเผย ที่เวียดนามก็เช่นเดียวกันรัฐบาลเขากลัวว่า เมื่อศาสนาเข้ามาและเจริญเติบโต มันจะทำให้รัฐบาลมีอำนาจในการปกครองประชาชนน้อยลง และเขากลัวอีกว่า เมื่อศาสนาเข้ามามีอิทธิพลในประเทศของเขา ประชากรของเขาจะมีความเคารพศาสนามากกว่า การเคารพรัฐบาล
       เราซึ่งอยู่ในประเทศที่มีอิสระเสรี ในการทำทุกอย่างและที่สำคัญเราผู้ซึ่งเป็นคริสตชนและเป็นลูกขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราต้องมีความเชื่อ ความรัก ความไว้ใจ มากกว่าผู้ที่ไม่มีโอกาสเหมือนกับเรา เราโชดดีแค่ไหน ที่เราเกิดมาในประเทศที่มีความพร้อมทุกอย่างในการดำเนินชีวิต ดังนั้น เราจงไว้วางใจในพระเป็นเจ้าเถิด ทุกอย่างจะดีเอง 
      นี่เป็นส่วนหนึ่งของงานแพร่ธรรมในพระศาสนจักรที่ถูกเบียดเบียนการเป็นคริสตชนที่ดีไม่ใช่ขึ้นอยู่กับสถานที่หรือปัจจัยภายนอก แต่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่ของการเป็นคริสตชนที่ดี สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีความหมายสำหรับ
คริสตชนที่แท้จริง                                    .. เฉลิม  นฤมานกันทร .. 

ประมวลภาพกิจกรรมประจำเดือนมิถุนายน 2012


แบ่งปันพระวาจา
    ทุกวันอาทิตย์หลังบูชาขอบพระคุณ เยาวชนวัดอัครเทวดามีคาแอล เข้าร่วมกิจกรรมแบ่งปันพระวาจา ซึ่งเป็นกิจกรรมใหม่ที่ทางวัดของเราได้จัดทำขึ้นเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตจิตสำหรับเยาวชนให้เข้มแข็งในความเชื่อที่มีต่อองค์พระคริสต์เจ้า โดยแบ่งเยาวชนออกเป็น 5 กลุ่ม แต่ละสัปดาห์ก็จะหมุนเวียนกันรับผิดชอบ เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการทำหน้าที่ดูแลจิตวิญญาณของตนเอง และดูแลจิตวิญญาณของเพื่อนพี่น้อง  กิจกรรมแบ่งปันพระวาจาเริ่มดำเนินงานมาได้ 1 เดือนแล้ว คาดว่าจะเป็นกิจกรรมที่ต่อเนื่องสำหรับกลุ่มเยาวชนของวัดอัครเทวดามีคาแอล        

แม้จะใกล้  ไกล  เราก็ไปถึง

     วันที่ 14 –15 มิถุนายน 2555  คุณพ่อแอนโทนี่ เจ้าอาวาสวัด คุณพ่อตรึกฟาน พร้อมทีมงานวัด เยี่ยมชมงานแพร่ธรรมที่อาสนวิหารเวียงจันทน์  ประเทศลาว ได้พบปะพระสังฆราชและคุณพ่อชาวเวียดนามที่ทำงานอยู่ประเทศลาว ในโอกาสที่ไปเยี่ยมชมงานแพร่ธรรมครั้งนี้ โดยการนำของคุณพ่อแอนโทนี่ และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนงานคำสอน คุณพ่อได้จัดกิจกรรมคำสอนสำหรับกลุ่มเด็กและเยาวชน ประมาณ 50  คน  ทั้งยังใช้เวทีนี้เป็นตัวกลางนำหนังสือที่ได้รับการบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา โดยเฉพาะหนังสือจากศูนย์คำสอนสังฆมณฑลกรุงเทพฯ เพื่อมอบให้กับซิสเตอร์เพื่อสร้างห้องสมุดที่ปากเซ  บรรยากาศที่ประเทศลาวค่อนข้างร้อน ท้องถนนเต็มไปด้วยฝุ่นแต่ก็มีตัวช่วยที่ทำให้เราคลายความร้อนได้บ้าง นั่นก็คือ ต้นไม้ ทั้งต้นเล็ก ต้นใหญ่ มองดูแล้วสดชื่นขึ้นมาทันที  คณะแพร่ธรรมเดินทางมาถึงเป้าหมายเวลา 10 นาฬิกา  มีคุณพ่อและ คริสตชนให้การต้อนรับ  คริสตชนส่วนใหญ่จะเป็นชาวเวียดนามที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ประเทศลาว  จะเห็นได้ว่า งานแพร่ธรรม คงไม่ใช่เป็นหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่สำคัญสำหรับคริสตชนทุกคนที่จะ ปฏิบัติหน้าที่แพร่ธรรมด้วยความร้อนรน