
เทศกาลปัสกาได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่นั่น ไม่ได้หมายถึง ชีวิตของเราจะกลายเป็นชีวิตธรรมดา และแน่นอนว่า เทศกาลธรรมดาก็ไม่ได้หมายความว่า ชีวิตของเราจะกลายเป็นชีวิตที่ธรรมดา แต่ชีวิตของเราย่อมเป็นชีวิตแห่งการเป็นประจักษ์พยาน เนื่องจากเราได้รับพละกำลังเพิ่มขึ้นจากการเฉลิมฉลองที่เราได้ปฎิบัติระหว่างเทศกาลปัสกา ตลอดเวลา เราได้สัมผัสความรักอันหาที่สุดมิได้ของพระเจ้าที่มีต่อเรา เมื่อเราทำการระลึกถึงความทุกข์ทรมาน การสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนม์ชีพอันรุ่งโรจน์ขององค์พระคริสตเจ้า เราได้ถูกเติมเต็มด้วยความหวัง เมื่อเราสมโภชการเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีอะไรมากกว่าโลกที่ไม่จีรังยั่งยืน เรามั่นใจว่ามีสวรรค์ เป็นบ้านสุดท้ายของเรา และเป็นบ้านแท้ ที่กำลังรอคอยเราและพระเยซูเจ้าได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เพื่อเตรียมสถานที่สำหรับเรา อย่างที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ “ และเมื่อเราไป และเตรียมที่ให้ท่านแล้ว เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเราด้วย เพื่อว่าเราอยู่ที่ใด ท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย ” (ยน 14: 3)และสุดท้ายเราได้รับของขวัญซึ่งเป็นพระจิตเจ้าที่พระเยซูเจ้าได้สัญญาว่าจะประทานให้แก่เรา เพื่อเราจะได้รับการนำทาง การชี้แนะจากพระจิตแห่งความจริงทรงเป็นพระพรที่บังเกิดผลต่างๆมากมาย ในชีวิตฝ่ายจิตเราได้รับการมั่นใจถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า นอกจากนั้น พระพรเหล่านี้ ถูกมอบให้เราเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สำหรับทุกคน เพื่อให้เราสามารถเสริมสร้างพระวรกายของพระคริสต์เจ้าให้แข็งแรงมากขึ้น อีกทั้งเพิ่มความศรัทธา ความรัก และความยุติธรรมมากขึ้นเช่นกัน
ในขณะที่เราเข้าสู่เทศกาลธรรมดาของปีพิธีกรรม ให้เราจดจำว่าชีวิตของเรานั้น ไม่เคยธรรมดา เราอาจไม่สามารถเป็นคนธรรมดาได้ เมื่อเราเต็มไปด้วยพระจิตของพระเจ้า ซึ่งผลักดันเราให้ประกาศข่าวดีให้แก่คนยากจน ปลดปล่อยผู้ถูกจองจำ คืนสายตาให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ( ลก4:18) นี่เป็นภารกิจที่ถูกกำหนดไว้ สำหรับคริสตชนทุกคนที่จะต้องกระทำภารกิจนี้ในทุกๆวัน เพราะฉะนั้น ในแต่ละปีจะมีเวลาต่างๆ แต่สำหรับคริสตชนที่แท้ ไม่มีวันไหนที่จะเป็นวันธรรมดา เมื่อเรากำลังปฎิบัติภารกิจของพระเจ้า