วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

“จากใจลูกคนหนึ่งของพ่อ...ต่อกิจกรรมเข้าเงียบ”




เดชะพระนาม พระบิดา พระบุตร และพระจิต อาเมน..ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงส่งพระจิตของพระองค์เพื่อให้สิ่งที่ลูกเขียนนี้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ต่อกิจกรรมเข้าเงียบ ที่พระองค์ได้ทรงโปรดเลือกสรรให้แก่ลูกด้วยเทอญ เดชะพระบิดาเจ้า พระเจ้าของเรา อาเมน...

วันแรกของการเยือนจังหวัดหนองบัวภู ผมรู้สึกประทับใจมากเนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีอากาศที่ สดชื่น มีความเป็นธรรมชาติ ดำรงอยู่ตามแบบที่พระเจ้าพระผู้สร้างของเราได้ทรงสร้างไว้ การมาเยือนจังหวัดหนองบัวลำภู ถือเป็นการมาในครั้งแรกของผม สืบเนื่องจากผมได้รู้จักคุณพ่อแอนโทนี่ เลดิ๊ก ซึ่งเป็นคุณพ่อเจ้าวัดของวัดคาทอลิก อัครเทวดามีคาแอล จังหวัดหนองบัวลำภู โดยช่องทาง facebook ซึ่งเป็นการติดต่อสื่อสารของสังคมในยุคปัจจุบัน คุณพ่อแอนโทนี่เขียนข้อความแบ่งปัน ไว้ใน facebook ของวัดอัครเทวดามีคาแอล จังหวัดหนองบัวลำภู เชิญชวนเยาวชนอายุ ตั้งแต่ 16 ปี ขึ้นไป ร่วมกิจกรรมเข้าเงียบ ในหัวข้อที่ว่า “ถ้าวันนี้ท่านได้ยินเสียงของพระเจ้า จงอย่าทำใจแข็งเลย” ซึ่งปกติแล้ว ผมจะพบเห็นแต่พระสงค์เข้าเงียบ แต่ยังไม่เคยพบว่ามีการจัดการเข้าเงียบของเยาวชน ผมจึงมีความสนใจ และได้ตอบรับการเข้าร่วมกิจกรรมกับคุณพ่อแอนโทนี่


กิจกรรมแรกของการเข้าเงียบในหัวข้อที่ว่า “ถ้าวันนี้ท่านได้ยินเสียงของพระเจ้า จงอย่าทำใจแข็งเลย” คือการแนะนำตัวทำความรู้จักกับเยาวชนอื่นๆ ทำให้ผมได้รู้จัก พี่ๆ น้อง ๆ และเพื่อนๆ ที่มีความแตกต่างกันในหลายๆ เรื่อง แต่สิ่งที่พวกเรามีเหมือนกันนั้น คือความศรัทธา และความเชื่อที่พวกเรามีต่อพระเยซูเจ้าของเรา เมื่อเสร็จกิจกรรมนี้ ก็ถึงเวลาที่พวกเรารอคอยคือการรับประทานอาหารร่วมกัน คุณพ่อก็ให้พวกเราแบ่งหน้าที่กัน บ้างก็เป็นพ่อครัว บ้างก็คุยแบ่งปันพระวาจา บ้างก็แอบไปเข้าเงียบต่อ (นอนหลับ) บ้างก็รอล้างจาน ส่วนตัวผมเองคุณพ่อได้มอบหมายให้เป็นหัวหน้าพ่อครัว (ฟังแล้วก็แอบอมยิ้ม เพราะไม่รู้ว่าอาหารที่ทำจะอร่อยหรือเปล่า ฮา...ฮา..)

หลังจากนั้นคุณพ่อได้เทศน์สอนเกี่ยวกับ “การรับฟังเสียงของพระเจ้า” ทุกคนก็นิ่งเงียบและตั้งใจฟังคุณพ่อแอนโทนี่เทศน์สอนอย่างตั้งใจ คุณพ่อได้ให้พวกเรามีเวลาส่วนตัว 1 ชั่วโมงในการรำพึงไตร่ตรองเพื่อค้น หาเสียงของพระเจ้า เมื่อพวกเราได้รับคำสั่งแล้ว ต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปหาที่สงบ และเป็นส่วนตัว บ้างก็นั่งใต้ไม้ บ้างก็เดิน บางก็ยืนสงบนิ่ง เพื่อนคนไหนที่สงบนิ่งไม่ได้ก็จะแอบแกล้งเพื่อนคนอื่นบ้างอย่างสนุกสนาน แต่สุดท้ายทุกคนก็สงบนิ่งอยู่ในความเงียบ...เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งหมดเวลาทุกคนก็ตื่นจากความสงบเงียบ และเข้ามานั่งรวมกัน ณ ที่ห้องทำกิจกรรม คุณพ่อแอนโทนี่ได้ให้พวกเราแบ่งปันเสียงที่พวกเราได้ยิน บางคนก็เล่าถึงเสียงพระเจ้าที่ทรงตรัสผ่านธรรมชาติที่พระองค์ทรงสร้าง บ้างก็รำพึงถึงปัญหาชีวิตที่ตนกำลังเผชิญจนทำให้บางคนถึงกับร้องไห้ เพื่อนชาวเวียดนามคนหนึ่งเล่าว่า “ผมได้เข้าเงียบจริงๆ คือการนอนหลับพักพิงในพระเจ้า” เพื่อนๆ คนอื่นๆ พอได้ยินสิ่งที่กล่าวนั้นก็หัวเราะสนุกสนานกัน จนกลายเป็นเรื่องตลก (ตัวผมเองก็แอบหัวเราะตามไปด้วย ฮา...ฮา...)


เมื่อเสร็จจากการรับประทานอาหารว่าง คุณพ่อให้พวกเรานั่งสมาธิเพื่อสร้างมโนภาพให้เสมือนกับพวกเรากำลังสนทนากับพระเยซูเจ้า หลังจากนั้นพวกเราก็มาแบ่งปันสิ่งที่พวกเราได้คุยกับพระองค์ บางคนก็เล่าว่าได้คุยกับพระเยซูเจ้าบนสวรรค์ บ้างก็คุยกับพระเยซูเจ้าบนภูเขา บ้างก็คุยกับเยซูพระเจ้าในถ้ำ แต่สำหรับตัวผมเองนั้นได้คุยกับพระองค์ในทุ่งหญ้าที่มีฝูงแกะมากมาย แต่กิจกรรมนี้ก็มีคนเล่าว่า ได้คุยกับพระเยซูเจ้าแค่สักครู่ก็เผลอหลับไป ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนคนอื่นๆ ได้มากที่เดียว ฮา...ฮา... ในช่วงค่ำเป็นกิจกรรม “จดหมายจากใจ” โดยครูแหม่ม ครูแหม่มได้ให้พวกเราเขียนสิ่งที่พวกเราท้าทายในชีวิต และให้เพื่อนๆคนอื่นมาเขียนตอบสิ่งท้าทายต่างๆที่เรากำลังเผชิญ เพื่อให้สิ่งที่เพื่อนๆตอบนั้นเป็นพระวาจาของพระเจ้าที่ช่วยให้เราผ่านสิ่งที่เรากำลังท้าทายนั้น ๆ ไปได้ กิจกรรมสุดท้ายของวันนี้คือ การคืนดีกับพระเจ้า ในกิจกรรมนี้พวกเราได้ขอโทษกับพระ เจ้าในสิ่งผิดบาป ที่พวกเราทำไปด้วยความตั้งใจ หรือไม่ได้ตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นการพูด การกระทำ หรือทางจิตใจ “ข้าพระเจ้าขอสารภาพต่อพระเจ้า ว่าข้าพเจ้าได้ทำบาปมากมาย ด้วยกาย วาจา ใจ และด้วยการละเลย ข้าพเจ้าเป็นคนบาป ข้าพเจ้ายอมรับว่าเป็นคนบาป.......” ก่อนที่พวกเราจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนในพระเจ้า คุณพ่อก็ถามความสมัครใจว่าจะมีใครสวดสายประคำบ้าง แต่ทุกคนก็ลงความเห็นว่าจะสวดสายประคำ พวกเราก็เลยสวดสายประคำกันทุกคน

วันที่สองของการเข้าเงียบ พวกเราตื่นนอนด้วยบท “จงสรรเสริญพระเยซูคริสต์เจ้า เป็นนิจนิรันดร อาแมน...” และทำวัตรเช้าโดยครูแหม่ม (ส่วนตัวผมเองไม่ได้ไปร่วมทำวัตรเช้า เพราะต้องเตรียมอาหารเช้าสำหรับทุกคน) เสร็จจากรับประทานอาหารเช้า คุณพ่อแอนโทนี่เทศน์สอนเรื่อง “การปฏิบัติตามพระประสงฆ์ของพระเจ้า” หลังจากนั้นก็ให้แบ่งปันความรู้สึกของการมาเข้าเงียบในครั้งนี้

ก่อนจะจบกิจกรรม พวกเราทุกคนได้มีโอกาสทำพิธีมิสซาพร้อมกัน หลังจากบทพระวรสาร คุณพ่อได้จัดให้มีพิธีล้างเท้า โดยเริ่มต้นจากคุณพ่อล้างเท้าให้เพื่อนคนหนึ่งที่มาเข้าร่วมกิจกรรม และก็สลับไปเรื่อยๆ จนครบ บางคนก็มีจูบเท้า บางคนก็น้ำตาซึม ตัวผมเองก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จริงๆ กิจกรรมนี้คุณพ่อพยายามสอนให้พวกเราเป็นผู้ที่ถ่อมตนก่อนที่จะขอความเมตตาจากคนอื่น ดังข้อพระวาจาที่กล่าวไว้ว่า “จงมีใจอ่อนโยน และถ่อมตน”

ความรู้สึกและความประทับใจของการเข้าเงียบในครั้งนี้ โดยปกติแล้วผมได้มีโอกาสในการเข้าร่วมกิจกรรมลักษณะแบบนี้อยู่บ้าง แต่ไม่เคยรู้สึกเลยว่า เราจะสนิทใจเหมือนกับเราอยู่กับครอบครัวของเราเอง เหมือนกับเราอยู่บ้านของเราเอง เท่ากับกิจกิจกรรมในครั้งนี้มาก่อน เพราะเพื่อนๆ ทุกคนเป็นกันเอง โดยเฉพาะเพื่อนๆ ชาวเวียดนาม แม้ว่าพวกเขาจะแตกต่างกันในเรื่องของวัฒนธรรม แต่เพื่อน ๆ ชาวเวียดนามก็มีความใคร่กระหายหาที่จะเรียนรู้ในวัฒนธรรมของประเทศไทย เรียนรู้ที่จะสวดภาวนาเป็นภาษาไทย


สุดท้ายนี้ผมขอภาวนาเป็นพิเศษให้กับ คุณพ่อแอนโทนี่ เลดิ๊ก บราเดอร์เบิร์น ซิสเตอร์บ้านเทเรซา ครูแหม่ม น้องโทน พี่ดิเรก เจ้าหน้าที่ และเยาวชนวัดอัครเทวดามีคาแอล จังหวัดหนองบัวลำภู และเพื่อนๆที่เข้าร่วมกิจกรรมเข้าเงียบทุกท่าน ขอให้พวกเขามีพละกำลังในการเผยแพร่พระธรรมและพระวาจาของพระเจ้าตลอด ไป “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน เพราะว่าทุกคนที่ขอก็จะได้ ทุกคนที่แสวงหาก็จะพบ ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา” (มัทธิว 7:7-8)

เราจงภาวนา “โปรดสดับฟังเทิด พระเจ้าข้า”

เปาโล ปฐวี แวววับ (ป๊อป)
22 ตุลาคม 2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น