วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

สารจากคุณพ่อเจ้าอาวาส

มีนิทานเรื่องหนึ่งที่ชาวอเมริกาชอบเล่าให้บรรดาเด็กๆ ฟัง คือ เรื่อง “ พ่อลูกขี่ลา ” เรื่องมีอยู่ว่า มีพ่อลูกสองคนนำลาไปขายที่ตลาด คนเป็นพ่อขี่หลังลาส่วนลูกชายเดินจูงลา เมื่อเดินทางไประยะหนึ่ง ได้ยินคนข้างทางผ่านมาพูดว่า “ เป็นพ่อประสาอะไร ไม่รู้จักรักลูกของตนเอง นั่งสบายบนหลังลา ปล่อยให้ลูกเดิน ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น พ่อก็รีบลงจากหลังลาและบอกให้ลูกชายขี่หลังลาแทน เมื่อเดินทางไประยะหนึ่ง พวกเขาก็ได้ยินคนวิจารณ์ว่า “ เป็นลูกแบบไหน ช่างไม่มีความกตัญญู ปล่อยให้พ่อต้องเดินจูงลา ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น พ่อกับลูกบอกกันว่า มีวิธีเดียวที่จะทำให้เขาหยุดพูดก็คือ เราทั้งสองขึ้นขี่หลังลา เมื่อเดินทางไปอีกระยะหนึ่ง เขาก็ได้ยินคนวิจารณ์ว่า “ เป็นมนุษย์ที่ไร้ความเมตตากรุณาจริง ๆ ลาตัวนิดเดียวจะทนรับน้ำหนักมากขนาดนั้นได้อย่างไร ” สองพ่อลูกได้ยินเช่นนั้น ก็รีบลงจากหลังลาทันที เดินไปได้พักหนึ่ง ก็ยังมีคนวิจารณ์ว่า “ สองคนนี้ช่างโง่จริงๆมีลาทั้งตัวไม่รู้จักขี่หลังมัน ” พ่อลูกทั้งสองไม่รู้จะทำอย่างไร จึงตัดสินใจว่าจะช่วยกันแบกลาไปตลาด บางครั้งชีวิตคนเรา ย่อมได้รับอิทธิพลจากคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่น แน่นอนว่า เราจำเป็นจะต้องรู้จักรับฟังความคิดเห็น แต่ในความคิดที่สร้างสรรค์ที่มีเจตนาที่ดีต่อเราเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรหวั่นไหวจากคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่นที่ไม่มีเหตุผล ในพระศาสนจักรหรือในชุมชนที่เราอาศัยอยู่ ก็มีคนประเภทนี้ ที่ชอบตำหนิและวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น แต่ลืมว่าตนเองก็มีข้อบกพร่องหลายอย่าง คนประเภทนี้ไม่ได้มีประโยชน์ต่อพระศาสนจักรและสังคมเลย แทนที่จะสร้างความรัก ความเป็นหนึ่งเดียวกันในชุมชน ในพระศาสนจักร เขากลับสร้างความแตกแยกในหมู่คณะ เมื่อเราอ่านนิทานเรื่องนี้ เราเองก็ต้องพิจารณาประเมินตนเองว่าเราเป็นคนที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นอย่างสร้างสรรค์หรือไม่ สิ่งที่พูดออกมานั้นเป็นเจตนาที่ดีหรือมีอะไรที่แอบแฝงในทางที่ไม่สร้างสรรค์ แน่นอนว่า คำพูดของเราสามารถส่งผลกระทบต่อคนอื่น ขอให้ทุกสิ่งที่เราพูดนั้นเป็นสิ่งที่ออกมาจากหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความบริสุทธิ์ใจ มีความปรารถนาดีกับทุกคนและไม่มีผลประโยชน์ที่แอบแฝง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น