วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สารจากคุณพ่อเจ้าอาวาส


พี่น้องที่รัก เรื่องราวเทศกาลปัสกาซึ่งเราทำการสมโภชอย่างสง่างาม ทุกๆปี คือเรื่องอะไร นั่นคือ เรื่องราวการที่พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขนและถูกฝังไว้ในพระคูหา แต่ในเช้าตรู่วันที่สามเมื่อศิษย์ของพระองค์ไปหาพระองค์ที่คูหานั้น เขาไม่ได้เจอพระศพของพระองค์อยู่ที่นั่น เขาพบแต่เพียงคูหาที่ว่างเปล่า  การที่คูหาว่างเปล่านั้น สำคัญสำหรับความเชื่อและความหวังของเรามากทีเดียว นักบุญเปาโลได้ยืนยันว่า ถ้าพระคริสตเจ้าไม่ได้ทรงกลับคืนพระชนม์ชีพ การเทศน์สอนของท่านก็ไร้ประโยชน์ และความเชื่อของท่านและของพวกเราก็ไร้ประโยชน์ด้วยเช่นเดียวกัน เราจะกลายเป็นคนโง่ที่สุดเพราะเราเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงเลย
        การที่เราสมโภชปัสกา คือ การยืนยันความเชื่อของเรา ความเชื่อที่ว่ามีพระคูหาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ที่เขาได้นำพระศพของพระองค์ไปวางไว้ แต่ในวันที่สามพระคูหาแห่งนั้นกลับว่างเปล่า ความจริงเบื้องหลังพระคูหาที่ว่างเปล่านั้น คือ การกลับคืนชีพของพระคริสต์เจ้า  ซึ่งเหตุการณ์นี้สามารถทำให้ทุกคนซึ่งตกอยู่ในความผิดหวัง ความทุกข์ร้อน กลายเป็นคนที่เร่าร้อนด้วยความรักและความหวัง พระองค์สามารถทำให้คนที่หวาดกลัวกลายเป็นคนกล้าที่จะป่าวประกาศความเชื่อของตนเองว่า พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนชีพแล้วถึงแม้ว่าจะต้องตายเพราะความเชื่อนั้น
        เรื่องราวของพระคูหาที่ว่างเปล่าและพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนชีพนั้นก็จะเป็นเรื่องราวความเชื่อที่พื้นฐานที่สุดของคริสตชนในทุกยุคทุกสมัยและทุกที่   เพราะเรื่องนี้เราจึงรู้ว่า ปรากฎการณ์นี้มิใช่เพียงแค่เหตุการณ์บังเอิญเหตุการณ์หนึ่งเท่านั้น แต่เป็นกิจการอันยิ่งใหญ่ในแผนการกอบกู้โลกของพระบิดาเจ้า แล้วการกอบกู้จะเป็นอะไรเล่าถ้าไม่ใช่การนำความหวังในพระเจ้ามาสู่เรา ให้เราเชื่อว่าพระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเราแม้สักครั้ง
       ความเชื่อในพระธรรมล้ำลึกแห่งปัสกาเป็นความเชื่อในองค์พระเจ้า ซึ่งพระองค์จะไม่ทอดทิ้งคนใดที่ไว้วางใจในพระองค์ ความเชื่อนี้ยืนยันว่าชีวิตเราไม่ใช่มีแต่ความยากลำบากอย่างเดียว การที่พระองค์ทรงกลับคืนชีพนั้นบอกเราว่า ถึงแม้ว่าเวลากลางคืนนั้น มันยาวนานแค่ไหนก็ตาม แต่สุดท้ายแสงสว่างของดวงอาทิตย์ในตอนเช้าตรู่ก็จะมาหาเรา หลังจากการรอคอยที่แสนทรมานและดูเหมือนกับว่าจะไม่มีวันสิ้นสุดลงได้ มีชีวิตไหนที่จะไม่มีความยากลำบาก มีใครที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความผิดหวังสักครั้ง ใครเล่าที่ไม่เคยผ่านความทุกข์ทรมาน แต่ทางแห่งไม้กางเขนเป็นเส้นทางสำหรับการเดินทางไม่ใช่เพื่อการหยุดนิ่ง ถ้าไม่มีทางแห่งไม้กางเขนก็จะไม่มีพระสิริรุ่งโรจน์เช่นกัน ที่ที่เราจะนัดพบกัน ที่ที่เราเราต้องมุ่งไปให้ถึงคือ เหตุการณ์แห่งปัสกา เราต้องไม่จมอยู่ในความเศร้าโศกของวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์  แต่เราจะต้องเข้าสู่ความชื่นชมยินดีของวันอาทิตย์ปัสกา
      พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนชีพแล้ว แต่เหตุการณ์นี้จะเป็นประโยชน์อะไรสำหรับเรา ถ้าเราไม่รู้สึกซาบซึ้งในข่าวดีนี้ พูดอีกอย่างคือเราได้ดำเนินชีวิตและเตรียมพร้อมเพื่อต้อนรับพระคริสตเจ้าเข้ามาในจิตใจของเราหรือยัง หรือว่าความมืดมนคงยังอยู่ที่นั่น  และความตายยังคงควบคุมชีวิตเราอยู่ ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือเราต้องทำอย่างไรเพื่อดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับข่าวดีแห่งการกลับคืนชีพของพระคริสตเจ้า ทำอย่างไรให้ข่าวดีนี้ช่วยเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราให้ดีขึ้นทำอย่างไรให้ความชื่นชมยินดีและพละกำลังเข้ามาในจิตใจของเรา ทำอย่างไรให้ข่าวดีนี้ช่วยเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราให้ดีขึ้น  ทำอย่างไรให้ความชื่นชมยินดี และพละกำลังนั้นซึมซาบเข้าไปเสริมสร้างชีวิตของเราในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นชีวิตชุมชนวัด ชีวิตครอบครัว หรือชีวิตส่วนตัวก็ตาม ทำอย่างไรให้ท่าทาง คำพูด และพฤติกรรม สะท้อนความชื่นชมยินดีแห่งปัสกาตลอดเวลา
      พี่น้องที่รัก เราทุกคนสามารถทำให้เหตุการณ์ปัสกาเกิดขึ้นในชีวิตเราได้
      ทุกครั้งที่เรายังคงจะรักต่อไป แม้จะถูกเขาปฎิเสธ
      ทุกครั้งที่เราบอกกับตัวเองจะพยายามต่อหลังจากได้ทำความผิดพลาด           
      ทุกครั้งที่เราไม่ผิดหวัง แม้ทุกอย่างได้พังลงไปหมด
      ทุกครั้งที่เราเช็ดน้ำตาบนแก้มและตัดสินใจว่าจะเริ่มต้นใหม่คือ เรากำลังมีส่วนร่วมในพระธรรมล้ำลึกแห่งปัสกา
 นั่นเอง ฉะนั้น ข่าวดีสำหรับเราทุกคนวันนี้คือ ไม่มีอะไรสามารถทำลายเราได้ ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ทรมาน  ความเจ็บป่วย ความชั่วร้าย หรือความตายก็ตาม เพราะพระเยซูเจ้าได้เอาชนะทุกอย่างแล้ว เราเองก็จะทำได้เช่นกัน ถ้าเราไว้วางใจในพระองค์อย่างมั่นคง ขอให้เราทุกคนชื่นชมยินดีในความเชื่อของเราเถิด
        พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนชีพแล้ว อัลเลลูยา  อัลเลลูยา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น